กรมการค้าต่างประเทศ รายงานข้อมูลระบุว่า ครึ่งปีแรก (ม.ค.–มิ.ย. 2568) ไทยส่งออกข้าวได้ 3.73 ล้านตัน มูลค่า 75,563 ล้านบาท ลดลง 27.29% และ 36.45% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดว่า ทั้งปีไทยจะส่งออกได้ประมาณ 7.5 ล้านตัน โดยเผชิญแรงกดดันจากข้าวอินเดียที่กลับมาส่งออกจำนวนมาก ราคาต่ำ และสต็อกสูง รวมถึงการแข่งขันจากประเทศอื่นที่พัฒนาเรื่องพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยข้าวที่ส่งออกมากที่สุดยังคงเป็น ข้าวขาว (47.19%) รองลงมาคือข้าวหอมมะลิ ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ อิรัก สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ จีน และเซเนกัล ซึ่งไทยยังมีโอกาสขยายตลาดเพิ่มเติมในตะวันออกกลางและยุโรป แม้บางตลาดในเอเชียและแอฟริกาจะชะลอตัวลงก็ตาม
โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงฯ หารือร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และภาคเอกชนร่วมให้ข้อเสนอเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ข้าวไทย พร้อมรายงานสถานการณ์ส่งออกในครึ่งปีหลัง ท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยโลก ทั้งการแข่งขันด้านราคาสูง ค่าเงินบาทแข็ง และความต้องการในตลาดหลักลดลง ซึ่งในส่วนของกระทรวงฯ เตรียมออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นราคาข้าวในประเทศ โดยได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในเร่งดำเนินการ “ตลาดนัดข้าวเปลือก” ควบคู่กับ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และใช้ ยุ้งฉางของเกษตรกร ในการดูดซับผลผลิตช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งคาดว่าจะดึงข้าวออกจากระบบได้ไม่น้อยกว่า 8.5 ล้านตัน เพื่อสร้างแรงซื้อในประเทศ และลดแรงกดดันราคาข้าว
พร้อมทั้งได้เดินหน้าขับเคลื่อน “โครงการธงเขียว” เพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ตั้งแต่พันธุ์ข้าว ปุ๋ย ยา และระบบการตลาด โดยเน้นส่งเสริมการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ
ขณะที่ตลาดส่งออก ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ เร่งประสานทูตพาณิชย์เปิดตลาดข้าวในจีน โดยเฉพาะ โควตาที่เหลืออีก 280,000 ตัน และร่วมงาน China-ASEAN EXPO ที่หนานหนิง และงาน CIIE ที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อเจาะตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเร่งผลักดันการส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย บังกลาเทศ และอิรัก ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพของข้าวขาวและข้าวนึ่ง รวมถึง ฮ่องกง ที่เป็นตลาดสำคัญของข้าวหอมมะลิ
ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายที่สุด เนื่องจากปริมาณข้าวโลกเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการลดลง โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่คาดว่า จะนำเข้าน้อยลง ราคาข้าวในตลาดปรับลดจากกิโลกรัมละ 19–20 บาท เหลือเพียง 10.50 บาท ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้เกษตรกร พร้อมเสนอให้เร่งประชาสัมพันธ์และพัฒนาข้าวนุ่ม ซึ่งตลาดเอเชียให้ความนิยมสูงขึ้น
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมฯ เสนอให้รัฐบาลดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อนค่าประมาณ 33–34 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อให้ข้าวไทยมีความสามารถแข่งขัน พร้อมทั้งผลักดันโควตาส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น อิรัก และซาอุดีอาระเบียที่มีความต้องการข้าวแข็งในตลาดแรงงาน