ภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือน ส.ค.ได้ภาคท่องเที่ยว ส่งออก หนุนเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่เกณฑ์ดี เกาะติดเงินบาทแข็ง

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนส.ค.2567 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนส.ค. 2567 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง  โดยการบริโภคสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อีกทั้ง จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ รวมถึงค่าเงินบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป

ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนส.ค. 2567 อยู่ที่ 0.35% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.62% มีสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนก.ค. 2567 อยู่ที่ 63.7% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 

สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนส.ค. 2567 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 235.7 พันล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนส.ค. 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.6% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 0.5% 

อย่างไรก็ดี ปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนส.ค. 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 25.5% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 12.1% รวมทั้งปริมาณจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ลดลง 15.9% และและลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 3.8% 

นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนก.ค. 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.5 จากระดับ 57.7 ในเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนส.ค. 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 7.2%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนส.ค. 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 5.5% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 8.9% 

โดยปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนส.ค. 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 22.5% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 11.3% 

สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนส.ค. 2567 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 5.7% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 3.1%

ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนส.ค. 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 5.2% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 11.3%

ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนส.ค. 2567 อยู่ที่ 26,182.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 7.0% และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ 6.6% 

ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนส.ค. 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 2.96 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน 20.1% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 2.8% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น  เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนส.ค. 2567 จำนวน 21.0 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 4.4% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 6.6% 

ขณะที่ภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนส.ค. 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 1.3% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 1.4% ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตในหมวดไม้ผลและหมวดประมง 

สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนส.ค. 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 1.9% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 2.9% ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนส.ค. 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 87.7 จากระดับ 89.3 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ กำลังซื้อผู้บริโภคยังอ่อนแอจากปัญหาหนี้สินที่เร่งตัวขึ้น และปัญหาสินค้าต่างประเทศเข้ามาตีตลาด อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว 

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles