นายธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินภาพการลงทุนของเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบต่อมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำหนดการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% นั้น จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในอุตสาหกรรมการส่งออกที่ต้องเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ทั้งกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหาร (อาหารทะเล /ผลไม้กระป๋อง และแปรรูป) กลุ่มอัญมณี กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มสิ่งทอ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบทางการค้าและจะส่งผลกระทบต่อความสามารถด้านการแข่งขันอย่างมาก
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการและนักลงทุน ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ต้องรอบทสรุปของอัตราภาษี ว่าท้ายที่สุดแล้วการเจรจาของรัฐบาลไทยจะมีการเจรจาต่อรองอย่างไร ซึ่งขณะนี้ยังมีเวลาจนกว่าจะครบกำหนดบังคับใช้ วันที่ 1 สิงหาคมนี้
อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ถือเป็นวิกฤตที่ยากที่สุด เนื่องจากยากที่จะเรียกความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนให้กลับมาเชื่อมั่นต่อสภาพการลงทุนโดยจะเห็นได้จากสภาพคล่องของตลาดทุนในขณะนี้หายไปมาก ดังนั้นมองว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติ กลับมาลงทุนได้อย่างปกติ ขณะเดียวกันภาครัฐบาลก็ควรเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพลิกฟื้นวิกฤตที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพื่อพยุงและขับเคลื่อนการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ โดยเฉพาะผู้บริโภคให้กลับสู่ภาวะปกติ
สำหรับตลาดหุ้นไทยในขณะนี้เต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นส่งออก ที่เผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ดังนั้นมองว่าควรเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับการส่งออก และมองว่าให้หันมาลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลัก (Domestic Plays) หรือ หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากจะสามารถลดความผันผวนของความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้ โดยมองว่าหุ้นกลุ่มที่เป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย และถือเป็น “Safe Play” โดยยังคงให้น้ำหนักการลงทุน ได้แก่ กลุ่ม Healthcare Tourism เนื่องจากประเทศไทยตั้งเป้าในการผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านสุขภาพ (Medical Hub) โดยเฉพาะด้านบริการทางการแพทย์ เพื่อดึงดูด นักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งสร้างการเติบโตให้ประเทศไทย
ในแง่ของการลงทุนนั้น คาดว่า สถานการณ์ในปัจจุบันเป็นจังหวะที่ดีในการ ทยอยสะสมหุ้นโดยพิจารณาเลือกเก็บหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี (Dividend Yield) โดยเน้นลงทุนหุ้นที่ไม่มีความเสี่ยงเรื่องกระแสเงินสด มีเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจที่ดี เนื่องจากมองว่าด้วยสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทจดทะเบียนใดที่มีการบริหารต้นทุนความเสี่ยงที่ดี รักษาสภาพคล่องได้ดี ที่สำคัญมีกระแสเงินสดที่ดี และมีการปรับกลยุทธ์ สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี บริษัทจดทะเบียนนั้นเป็นบริษัทที่สามารถนำพาองค์กร และผู้ถือหุ้น ฝ่าวิกฤตนั้นๆ ได้