มิชลินสั่งปิด 2 โรงงานในฝรั่งเศส ปลดพนักงานพรึบกว่า 1,250 คน เซ่นตลาดรถยนต์ยุโรปซบเซา ต้นทุนสูง การแข่งขันรุนแรงจากค่ายรถเอเชีย

มิชลิน สั่งปิด 2 โรงงานในฝรั่งเศส ปลดพนักงาน พรึบกว่า 1,250 คน เซ่นตลาดรถยนต์ยุโรปซบเซา ต้นทุนสูง การแข่งขันรุนแรงจากค่ายรถเอเชีย

มิชลิน (Michelin) ยักษ์ใหญ่ผลิตยางรถยนต์ชื่อดังระดับโลกจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีอายุมาถึง 135 ปี เปิดเผยว่า เตรียมปิดโรงงาน 2 แห่งในเมืองโชเลท์ และเมืองวานน์ ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกในประเทศฝรั่งเศส ส่งผลให้ปลดพนักงานมากถึง 1,250 คน สาเหตุจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในทวีปยุโรปเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ตลาดรถยนต์ในยุโรปซบเซา ท่ามกลางต้นทุนในการแข่งขันทางธุรกิจอยู่สูง นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงจากค่ายรถยนต์จากเอเชีย

การตัดใจดังกล่าวของมิชลินสร้างความไม่พอใจอย่างมากต่อสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในฝรั่งเศส โดยเฉพาะแกนนำหัวรุนแรงในสหภาพแรงงานได้เรียกร้องให้พนักงานประท้วงบริษัทมิชลิน อย่างไรก็ตาม แกนนำคนอื่นๆ ที่ไม่มีท่าทีก้าวร้าวได้เรียกร้องให้ฝ่ายบริหารของบริษัทมิชลินเดินทางมายังโรงงานทั้ง 2 แห่ง เพื่อร่วมหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาที่พนักงานจะต้องตกงานจำนวนมาก

รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ฝรั่งเศส นายมาร์ค เฟอราชี กล่าวว่า ได้เรียกร้องให้สหภาพยุโรปเร่งจัดทำแผนฉุกเฉินเพื่อปกป้อง และรักษาอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรป ซึ่งในขณะนี้ ทุกฝ่ายกำลังเร่งร่างข้อเสนอด้านนโยบายภายในไม่กี่สัปดาห์หน้านี้

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2023 ผ่านมา มิชลินประกาศปิดโรงงานผลิตยางรถยนต์ทั้ง 3 แห่งในประเทศเยอรมนี ซึ่งอยู่ที่เมืองฮอมบวร์ก (Homburg) เมืองเทรียร์ (Trier) และเมืองคาร์ลสรู (Karlsruhe) ภายในสิ้นปี 2025 หรืออีก 2 ปีจากนี้ไป ส่งผลให้พนักงานของมิชลินในทั้ง 3 เมือง มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,532 รายต้องตกงาน โดยในปัจจุบันนี้ มิชลินมีการจ้างงานมากกว่า 8,000 คน กระจายในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย และสวิสเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ มิชลินเตรียมย้ายศูนย์บริการลูกค้าไปยังประเทศโปแลนด์ด้วย

สาเหตุจากความสามารถในการแข่งขันของโรงงานผลิตยางรถยนต์มิชลินในประเทศเยอรมนีตกต่ำถึงขั้นไม่สามารถแข่งขันในตลาดยุโรป และตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศได้อีกต่อไป นอกจากนี้ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงในตลาดยางรถบรรทุกต้นทุนต่ำ สำหรับการปิดโรงงานทั้ง 3 แห่งในประเทศเยอรมนี และปลดพนักงานด้วยนั้น จะทำให้มิชลินประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 425 ล้านยูโร หรือ 465.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 16,760 ล้านบาท

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles