ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2024 ที่ผ่านไป พบว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 72.24 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.47 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.1% ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน
ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 77.59 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.47 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.9% ย้อนไปในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
สิ้นสุดปี 2023 พบว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ปิดลดลงกว่า -10% ทำสถิติราคาน้ำมันดิบปิดรายปีลดลงในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา สำหรับในปี 2022 นั้น ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิด +7% สอดรับกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิด +10%
สาเหตุจากสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีอิหร่านคอยสนับสนุนกลุ่มกบฏฮูติให้โจมตีเรือขนส่งสินค้าทางทะเลผ่านบริเวณทะเลแดง ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐ นายแอนโทนี บลิงเคนท์ ตัดสินใจเดินทางไปเจรจาทางการทูตกับประเทศสำคัญในตะวันออกกลางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลแดง
นอกจากนี้ การประท้วงของพนักงานในแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศลิเบียมีชื่อว่า ชารารา ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบหดหายไปวันละกว่า 300,000 บาร์เรล เนื่องจากต้องปิดแหล่งผลิตน้ำมันดิบดังกล่าวจนกว่าสถานการณ์ประท้วงจะคลี่คลาย
ทั้งนี้ กลุ่มโอเปกพลัสจะจัดการประชุมร่วมกันกับคณะทำงานร่วมประเมินสถานการณ์พลังงาน หรือ JMMC ในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อประเมินภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกอย่างใกล้ชิดหลัวมีมติเห็นตรงกันให้ขยายเวลามาตราลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของทั้งกลุ่มต่อไป รวมถึงให้ลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงอีก ส่งผลปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลดลงวันละ 2.2 ล้านบาร์เรล มีผลตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ใน 2024 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ปริมาณดังกล่าวน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะลดการผลิตลงวันละมากกว่า 2-3 ล้านบาร์เรล