ตลาดซื้อขาย น้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 17 มกราคม 2025 ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 77.88 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.0% ส่งผลราคาปิดลดลง 2 วันติดกันรวม -2.16 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.7% หลุดสถิติราคาปิดสูงสุดใน 6 เดือน หรือตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2024 เป็นต้นมา ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 80.79 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.6% ส่งผลราคาปิดลดลง 2 วันติดกันรวม -2.16 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.7% หลุดจากสถิติราคาปิดสูงสุดใน 5 เดือนครึ่ง หรือตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2024
ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบทั้งสองตลาดสำคัญปิด +1.3% และ +1.7% ตามลำดับ ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ปิดขึ้น 4 สัปดาห์ติดต่อกัน ในปี 2024 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดสุทธิลดลง 3% เมื่อเทียบกับปี 2023 ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ มีราคาปิดสุทธิเสมอตัวกับในปี 2023
สาเหตุจากข้อตกลงเสนอหยุดยิงชั่วคราวนาน 6 สัปดาห์ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสติดอาวุธในฉนวนกาซามีผลขึ้นแล้ว ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มกองกำลังฮูติที่มักจะโจมตีกองเรือขนส่งน้ำมันดิบในทะเลแดงของตะวันออกกลาง อาจจะหยุดการซุ่มโจมตีด้วย
ก่อนหน้านี้ สำนักจัดการข้อมูลพลังงานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ USEIA เปิดเผยว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือตั้งแต่ปี 2022 เมื่อวานนี้ ได้คาดการณ์การบริโภคน้ำมันดิบสหรัฐอเมริกาจะคงที่วันละ 20.5 ล้านบาร์เรลในปีนี้ และปี 2026 ในขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 13.52 ล้านบาร์เรลในปี 2025 นี้ ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบของก๊าซพรอม เนฟท์ ซี่งเป็นรัฐวิสาหกิจพลังงานใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซีย และเซอร์กัทเนฟเทก๊าซ รวมถึงกองเรือเงาขนส่งน้ำมันดิบจำนวน 183 ลำของประเทศรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรด้านพลังงานในภาพรวมกับประเทศรัสเซีย ซึ่งประกอบด้วยการคว่ำบาตร บริษัทและรัฐวิสาหกิจผลิตผลิตน้ำมันดิบ การคว่ำบาตรเรือขนส่งน้ำมันดิบ การคว่ำบาตรธุรกิจขายส่งน้ำมันดิบ การคว่ำบาตรบริษัทเทรดเดอร์ซื้อขายน้ำมันดิบ และการคว่ำบาตรท่าเรือขนส่งและขนถ่ายน้ำมันดิบทั้งหมดของรัสเซีย จะเห็นได้ว่ามาตรการคว่ำบาตรในภาพรวมครั้งใหม่นี้พุ่งไปเป้าหมายสำคัญของทุกขั้นตอนของการผลิต การจำหน่าย และการขนส่งน้ำมันดิบครบวงจรของประเทศรัสเซียออกสู่ตลาดโลก แหล่งข่าวสำคัญในวงการอุตสาหกรรมน้ำมันดิบตลาดโลกเปิดเผยว่ามาตรการล่าสุดในครั้งนี้ของสหรัฐอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อวงจรการผลิตและขนส่งน้ำมันดิบของรัสเซียอย่างมากโดยเฉพาะการขายน้ำมันดิบให้กับประเทศจีนและอินเดีย
นอกจากนี้ ภาวะอากาศหนาวจัดปกคลุมหลายพื้นที่ในสหรัฐ และยุโรป ส่งผลต่อแนวโน้มความต้องการใช้ และราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดีเซลเกรดซัลเฟอร์ต่ำที่สุด พบว่ามีราคาพุ่งทะยานถึง 5.1% ขึ้นแตะที่ระดับ 105.07 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือนกว่า หรือตั้งแต่กรกฎาคม 2024
ด้านสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออึเอ เปิดเผยการคาดการณ์ว่า ในปี 2025 จะเกิดภาวะตลาดน้ำมันดิบล้นตลาด หรือเกินความต้องการบริโภคที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถ้ากลุ่มโอเปกพลัสมีมติเริ่มทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในเดือนมีนาคมปี 2025 หากกลุ่มโอเปกพลัสยังคงมติลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเมื่อถึงสิ้นไตรมาสที่ 1 ในปีหน้า ภาวะน้ำมันดิบล้นตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นมาเป็นวันละ 950,000 บาร์เรล
ขณะที่เมื่อวันพุธผ่านมา กลุ่มโอเปกพลัสปรับลดตัวเลขคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2024 และปี 2025 ครั้งใหม่ ซึ่งนับเป็นการปรับลดตัวเลขดังกล่าวเป็นครั้งที่ 5 ต่อเนื่อง สำหรับในปีนี้ ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.61 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 1.82 ล้านบาร์เรลต่อวัน สอดคล้องกับความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเพียง 1.45 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 1.54 ล้านบาร์เรลต่อวัน
การปรับลดตัวเลขคาดการณ์ของปี 2024 ซึ่งลดลงมากถึงวันละ 210,000 บาร์เรล ทำสถิติการลดตัวเลขคาดการณ์ที่มากที่สุดใน 5 ครั้งที่ประกาศปรับลดการคาดการณ์ลงมานับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการปรับลดคาดการณ์ครั้งแรก
โอเปกพลัสลดตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันดิบของประเทศจีนมีแนวโน้มลดลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาต่อเนื่อง โดยในปี 2024 นี้ ปรับลดคาดการณ์การใช้น้ำมันดิบจีนลงจาก 760,000 บาร์เรลต่อวันมาเหลือที่ 430,000 บาร์เรลต่อวัน หรือลดลงมากถึงวันละ 330,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ในปี 2025 กลุ่มโอเปกพลัสปรับลดตัวเลขคาดการณ์ใช้น้ำมันดิบของจีนจากเดิมจะเพิ่มขึ้นวันละ 580,000 บาร์เรล ลงมาอยู่ที่เพิ่มขึ้นเพียงวันละ 480,000 บาร์เรล หรือลดลง 100,000 บาร์เรลต่อวัน ก่อนหน้านี้ กลุ่มโอเปกพลัสส่งสัญญาณใหม่เกี่ยวกับการชะลอปรับขึ้นกำลังการผลิตของทั้งกลุ่มในเดือนธันวาคมนี้
นอกจากนี้ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ หรือโปลิตบูโร และรัฐบาลจีน ได้ส่งสัญญาณจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนเชิงรุกในปี 2025 เช่น การปรับลดดอกเบี้ยสำคัญ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี การแก้วิกฤตอสังหาริมทรัพย์เรื้อรัง เป็นต้น เพื่อตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจจีนเติบโตที่ระดับ 5% ในปี 2025 โปลิตบูโรจีนจะมีการประชุมประจำปีในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์นี้
กลุ่มโอเปกพลัสมีมติต่ออายุมาตรการลดกำลังการผลิตออกไปเป็นไตรมาสที่ 1 ในปี 2025 หรือถึงสิ้นเดือนเมษายนปี 2025 นับเป็นการตัดสินใจครั้งที่ 3 ต่อเนื่องในการขยายเวลามาตรการดังกล่าว ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินภาวะน้ำมันดิบล้นตลาดที่จะมีขึ้นในปี 2025 มีความชัดเจนมากขึ้น
สำนักพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่า ในปี 2025 จะเกิดภาวะน้ำมันดิบล้นตลาดราว 1 ล้านบาร์เรล ถึงแม้ว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่องก็ตาม สาเหตุมาจากสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบมากขึ้นจากนโยบายด้านพลังงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นการผลิตพลังงานจากฟอสซิล
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2022 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน และในปี 2022 ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมันมีผลวันที่ 15 มกราคมนี้ โดยขึ้นราคากลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 50 สตางค์/ลิตร นับเป็นการขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกครั้งแรกของปี 2025 และเป็นการขึ้นราคาลิตรละ 50 สตางค์ครั้งแรกและมากที่สุดในรอบเกือบ 10 เดือนผ่านมา หรือตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2024 ส่งผลเป็นราคาน้ำมันขายปลีกสูงสุดใน 13 วันผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2025