นายแดน อีฟส์ หัวหน้าสายงานวิจัยเทคโนโลยีโลก บริษัทหลักทรัพย์ เวดบูช เปิดเผยว่า ถ้าหากสหรัฐอเมริกาต้องผลิตไอโฟน จะมีราคาตกเครื่องละ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 122,500 บาท นั่นเป็นเพราะสงครามภาษีนำเข้าที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกามีผลบังคับใช้กับทั่วโลกแล้วในวันนี้ 9 เมษายน ซึ่งจะทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศอเมริกามีราคาพุ่งสูงขึ้น ในอีกด้านหนึ่งที่มองว่า จำนวนชาวอเมริกันจะมีงานทำมากขึ้นในประเทศ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมจะมีการกลับมาจากงานคนอเมริกันมากขึ้นโดยจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าเรื่องสมมุติ
ไอโฟนที่ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีราคาสูงขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับราคาที่ขายในปัจจุบันที่อยู่ในที่อยู่ในราคาเครื่องละ 1000 ดอลลาร์สหรัฐกว่า 35,000 บาท เนื่องจากจะต้องมีการลงทุนด้วยมูลค่าจำนวนมากมากมายเพื่อที่จะสร้างระบบนิเวศและเครือข่ายห่วงโซ่การผลิตที่มีความซับซ้อนในสหรัฐอเมริกาเหมือนอย่างที่ในขณะนี้ที่แอปเปิล อินคอร์ปอเรชั่น ได้มีการวางเครือข่ายและการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตไอโฟนในเอเชียมาเป็นเวลานาน
และถึงแม้จะตัดสินใจลงทุนเป็นจำนวนเงินมากมายเพื่อสร้างเครือข่ายระบบนิเวศในการผลิต iPhone ในสหรัฐอเมริกาก็ตาม แอปเปิล อินคอร์ปอเรชั่น จะต้องมีต้นทุนอย่างน้อย 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.05 ล้านล้านบาท และต้องใช้เวลาสามปี เพียงเพื่อจะโยกย้าย ห่วงโซ่การผลิตในสัดส่วนเพียง 10% ออกจากเอเชียกลับมายังสหรัฐอเมริกา
เป็นที่รู้กันดีว่า บริษัทสัญชาติอเมริกันจะลงทุนเฉพาะในเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการออกแบบสินค้า ซึ่งนับเป็นแหล่งผลกำไรและความสามารถในการทำกำไรที่มีสูงมาก ในขณะที่การผลิตในส่วนของฮาร์ดแวร์จะเกิดขึ้นในทวีปเอเชีย ในปัจจุบัน 90% ของไอโฟน ล้วนผลิตอยู่ในประเทศจีน ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้บริษัท แอปเปิล อินคอร์ปอเรชั่น กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าและมีขนาดใหญ่โตเป็นอันดับต้นของโลกในปัจจุบัน
บริษัทหลักทรัพย์โรเซนแบลทท์ ซึ่งตั้งอยู่ในนิวยอร์กสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า ราคา iPhone อาจจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นถึง 43% จากราคาเฉลี่ยที่ขายในปัจจุบัน สำนักวิจัยเคาเตอร์พ้อยท์ รีเสิร์ช เปิดเผยว่า ราคา iPhone จะเพิ่มสูงขึ้นราว 30% หรือมากกว่านั้นเป็นต้นไป แต่ราคาที่เพิ่มเพิ่มสูงขึ้นนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้สถานที่ใดทำการผลิต
สำหรับราคาหุ้นของบริษัทแอปเปิล อินคอร์ปอเรชั่น ปรากฏว่านับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มีราคาหุ้นลดลงมากถึง 25% จากความกังวลของนักลงทุนที่บอกว่านโยบายการค้าระหว่างประเทศและมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของบริษัท แอปเปิล อินคอร์ปอเรชั่น
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แอปเปิล อินคอร์ปอเรชั่น ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ชื่อดังระดับโลก เจ้าของแบรนด์ไอโฟน ไอแพด ไอพอด คอมพิวเตอร์แม็ค จากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่าเตรียมเงินลงทุนมากถึง 500,000 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 17 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนร่วมกับบริษัท และห่วงโซ่การผลิตของบริษัทแอปเปิลของสหรัฐอเมริกาในช่วงระยะเวลาอีก 4 ข้างหน้าจะนี้ไป หรือเฉลี่ยคิดเป็นเงินลงทุนปีละ 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่าปีละกว่า 4.25 ล้านล้านบาท
เงินลงทุนจำนวนมากมายมหาศาลนี้มีเป้าหมายในการลงทุนเพื่อก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่โตอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะเกิดขึ้นที่รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เพื่อใช้เป็นสถานที่ตั้งระบบเก็บจัดการบริหารข้อมูลระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเซิร์ฟเวอร์เอไอ นอกจากนี้จะทุ่มเงินลงทุนในการสร้างตำแหน่งงานด้านวิจัยและการพัฒนาจำนวนมากกว่า 20,000 คนในอีก 4 ปีหน้าในสหรัฐอเมริกา
ที่น่าสนใจและสำคัญที่สุด คือการเตรียมงบประมาณมากถึงกว่า 17 ล้านล้านบาทในครั้งนี้ จะใช้จ่ายกับบริษัทสัญชาติอเมริกันเป็นหลัก เช่น ใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนจากบริษัทซัพพลายเออร์สัญชาติอเมริกัน เพื่อใช้ในการจัดซื้อและลงทุนในธุรกิจภาพยนตร์ถ่ายทำรายการโชว์ที่อยู่ในเครือข่ายธุรกิจโทรทัศน์ และธุรกิจภาพยนตร์ระบบสตรีมมิ่งวิดีโอในบริการแอปเปิลทีวี พลัส เป็นต้น