ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) เดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดย BI มีมติในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย. 2025 ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เหลือ 4.75% ถือเป็นครั้งที่ 6 นับจาก ก.ย.2024 รวมลดแล้ว 1.5% สะท้อนการให้น้ำหนักกับการเติบทางเศรษฐกิจและเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายการคลัง โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม ดังนี้
– เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบของ BI หนุนการลดดอกเบี้ยต่อ โดยเงินเฟ้อเดือน ส.ค. 2025 อยู่ที่ 2.31% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า จากปัจจัยค่าใช้จ่ายเปิดเทอมและการขนส่งที่คลี่คลาย แม้ราคาข้าวยังสูง แต่โดยรวมเงินเฟ้อในปีนี้มีแนวโน้มยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย 1.5–3.5% ของ BI เปิดโอกาสให้ปรับลดดอกเบี้ยได้อีกในไตรมาสสุดท้าย หากทางการยังสามารถประคองค่าเงินรูเปียห์ให้มีเสถียรภาพได้
– มาตรการการคลังเดินหน้าเชิงรุกหนุนเศรษฐกิจ โดยเดือน ก.ย. รัฐบาลออกมาตรการหลายด้าน เริ่มจากการอัดฉีดสภาพคล่อง 200 ล้านล้านรูเปียห์ เข้าธนาคารรัฐเมื่อ 12 ก.ย. เพื่อปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสู่ภาคเศรษฐกิจ ตามด้วยมาตรการกระตุ้นการบริโภคและภาคส่วนต่างๆ วงเงิน 16.23 ล้านล้านรูเปียห์ เมื่อ 15 ก.ย. ขณะเดียวกัน BI ยังถูกกำหนดให้ร่วมข้อตกลง “Burden-sharing” กับกระทรวงการคลังในการร่วมภาระหนี้โครงการบ้านและสหกรณ์ ตอกย้ำการผสานโนบายบายการเงินและการคลังอย่างเป็นรูปธรรม
-ความเสี่ยงการคลังและหนี้สาธารณะกลายเป็นโจทย์สำคัญ การเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องกำลังเพิ่มแรงกดดันต่อฐานะการคลัง โดยล่าสุดขาดดุลอยู่ที่ 2.8% ของ GDP ในไตรมาส 2/2025 ซึ่งเข้าใกล้กรอบกฎหมายที่ 3% ขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ 39.2% ของ GDP ปี 2024 หากมาตรการประชานิยมดำเนินต่อโดยขาดความรอบคอบและไม่มีมาตรการจัดเก็บรายได้เพิ่มเติม อาจผลักให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นและกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน แม้รัฐมนตรีคลังคนใหม่จะยืนยันว่าการขาดดุลงบประมาณจะไม่เกินเพดานที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว แต่ยังต่ำกว่าเป้า แม้มาตรการผ่อนคลายการเงินและการจูงใจปล่อยกู้ของ BI ในช่วงที่ผ่านมาจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืม แต่สินเชื่อยังชะลอตัว โดยเดือน ส.ค. 2025 เติบโต 7.56% ขยับขึ้นจาก 7.03% ใน ก.ค. แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 8-11% ของ BI สะท้อนความระมัดระวังของธนาคารพาณิชย์และอุปสงค์เอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว
ทั้งนี้ ตลาดการเงินตอบรับเชิงบวก แต่ค่าเงินยังอ่อนไหวเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่ามากที่สุดในเอเชีย สะท้อนความเปราะบางด้านเสถียรภาพ โดยหลังการเปลี่ยน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและการลดดอกเบี้ยของ BI ดัชนี JCI ฟื้นขึ้นทำสถิติใหม่เหนือระดับ 8,000 จุด ขณะที่ค่าเงินรูเปียห์แข็งค่าขึ้น 0.32% มาอยู่ที่ 16,385 รูเปียห์/ดอลลาร์ ณ วันที่ 17 ก.ย. (จาก 8 ก.ย.) ทั้งนี้ แม้ BI จะเร่งแทรกแซงค่าเงินรูทั้งตลาดในและต่างประเทศเพื่อพยุงค่าเงิน แต่ BI ยังต้องแบกรับภาระหนี้โครงการรัฐร่วมกับกระทรวงการคลังตามข้อตกลง Burder-sharing ตอกย้ำว่าการเมืองกำลังกดดันอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าในระยะต่อไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า BI มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ต่อในระยะข้างหน้า ภายใต้สถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในกรอบและการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อค่าเงินรูเปียห์ เปิดโอกาสให้ BI เดินหน้าผ่อนคลายการเงินได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้การผสานนโยบายการเงินและการคลังจะช่วยหนุนเศรษฐกิจ แต่การบรรลุเป้าหมาย GDP โต 6-8% ในปีนี้ยังเป็นโจทย์ท้าทาย เนื่องจากผลของนโยบายต้องใช้เวลาส่งผ่าน ทั้งยังมีโจทย์สำคัญในการรักษาวินัยการคลังเพื่อคงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในระยะต่อไป