ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า การส่งออกไทยเดือนก.ย. 2568 ขยายตัวสูงกว่าคาดที่ 19.0%YoY นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 42 เดือน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และทองคำเป็นสำคัญ ซึ่งหากหักการส่งออกสินค้าทั้ง 2 รายการดังกล่าว การส่งออกไทยเดือนก.ย.จะขยายตัวอยู่ที่ 4.9%YoY
การเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยในเดือนก.ย.ขยายตัว 42.6%YoY (contribution to growth 8%) เร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้า นำโดยการส่งออกคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์และชิ้นส่วน โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ ขยายตัวสูงที่ 67.1%YoY เนื่องจากส่วนใหญ่ยังไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้า นอกจากนี้ การส่งออกยังได้แรงหนุนจากขาขึ้นของวัฎจักรเซมิคอนดักเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งสนับสนุนให้การส่งออกขยายตัวในหลายตลาดในภูมิภาค ได้แก่ อาเซียน จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ (รูปที่ 2)
การส่งออกทองคำตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปเดือนก.ย. ขยายตัวสูงถึง 212.6%YoY (contribution to growth 6%) หนุนให้ราคาทองคำในช่วงเดือนก.ย. ยังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสัดส่วน 80% ยังเป็นการส่งออกไปตลาดสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี แม้ราคาทองคำในเดือนต.ค. เริ่มชะลอลงแต่มองว่ายังอยู่ในระดับสูงเนื่องจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่และนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอน จึงคาดว่าการส่งออกทองคำในช่วงที่เหลือของปียังจะเป็นแรงหนุนภาพรวมการส่งออกไทยที่สำคัญ
การส่งออกสินค้าที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ยังไม่ชะลอตัวอย่างที่คาดการณ์ โดยการส่งออกสินค้าหลักในกลุ่มดังกล่าวไปสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ในเดือนก.ย. อาทิ เครื่องปรับอากาศ และอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากไทยมีโอกาสในการแข่งขันด้านราคาเพิ่มขึ้นหลังสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าไทยต่ำกว่าคู่แข่งหลักอย่างจีน และใกล้เคียงกับคู่แข่งอื่นๆ ในอาเซียน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการภาพรวมการส่งออกไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 11.0% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 5.7% ในปี 2568 โดยการส่งออกไทยในเดือนก.ย. ขยายตัวสูงสวนทางกับที่คาดการณ์ว่าจะเผชิญการหดตัว ส่งผลให้ 3 ไตรมาสแรกของปีการส่งออกขยายตัวอยู่ที่ 13.9%YoY ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายของปีการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้ 2.6%YoY จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัว เนื่องจากคาดว่าจะยังมีการเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่องก่อนที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ภายใต้มาตรา 232 ประกอบกับช่วงขาขึ้นของวัฏจักร
ในขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการนำเข้าไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 10.3% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 5.0% ในปี 2568 จากการนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์คาดว่าจะขยายตัวตามการส่งออก โดยการนำเข้าส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ การนำเข้าวงจรพิมพ์ แผงวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ยังขยายตัวได้สูงถึง 93.5% ในเดือนก.ย. 2568 โดยนำเข้าจากตลาดเอเชียเป็นสำคัญ เช่น ไต้หวัน จีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น เป็นต้น ทั้งนี้ การปรับเพิ่มประมาณการส่งออกและนำเข้าไม่ได้ส่งผลให้ดุลการค้าและดุลการชำระเงินเปลี่ยนแปลงมากนัก ขณะที่
สำหรับผลกระทบจากกรอบความตกลงทางการค้าต่างตอบแทนร่วมกันระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่ลงนามไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 คาดว่าจะมีผลในปี 2569 ทั้งนี้ กรอบความตกลงฯ ดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับในทางกฎหมาย โดยใช้เป็นกรอบการเจรจาเพิ่มเติมโดยตั้งเป้าว่าจะมีข้อสรุปร่วมกันภายในช่วงปลายปีนี้ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1.ไทยต้องเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 99% ครอบคลุมสินค้าเกษตร อาหาร และอุตสาหกรรม รวมถึงแก้ไขอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ 19% และจะพิจารณายกเว้นภาษีให้ในบางรายการ
2.ไทยต้องสั่งซื้อสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเกษตร (อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง) มูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี สินค้าพลังงาน (อาทิ ก๊าซธรรมชาติเหลว น้ำมันดิบ อีเทน) มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี และเครื่องบินสหรัฐฯ จำนวน 80 ลำ มูลค่า 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามรายละเอียดประเด็นสินค้าส่งผ่าน (Transshipped goods) หรือสินค้าที่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในไทย ซึ่งอาจถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 40%