สถาบันจัดเรตติ้งอีกหลายแห่งจะลดเรตติ้ง-มุมมองเศรษฐกิจไทยหลังมูดี้ส์ประเดิมเจ้าแรก ชี้ลดมุมมองเศรษฐกิจไทยทั้งที่ยังไม่ใส่ปัจจัยกู้เงิน 5 แสนล้านสู้ศึกสงครามภาษีสหรัฐ ไทยเจอกำแพงคู่บีบการคลัง ทั้งหนี้สาธารณะจ่อชนเพดาน ทั้งใช้งบขาดดุลติดเพดานหมดแล้ว เตือนจะใช้เงินไปทำอะไรมากกว่าจะกู้เงินเท่าไหร่

สถาบันจัดเรตติ้งอีกหลายแห่งจะลดเรตติ้ง-มุมมอง เศรษฐกิจไทย หลัง มูดี้ส์ ประเดิมเจ้าแรก ชี้ลดมุมมองเศรษฐกิจไทยทั้งที่ยังไม่ใส่ปัจจัยกู้เงิน 5 แสนล้านสู้ศึกสงครามภาษีสหรัฐ ไทยเจอกำแพงคู่บีบการคลัง ทั้งหนี้สาธารณะจ่อชนเพดาน ทั้งใช้งบขาดดุลติดเพดานหมดแล้ว เตือนจะใช้เงินไปทำอะไรมากกว่าจะกู้เงินเท่าไหร่

EDGE by KKP ซึ่งเป็นสายงานด้านงานวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุนในเครือบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร โพสข้อความเกี่ยวกับคำเตือนแนวโน้มที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดมุมมองและอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่นๆหลังจากบดี้เป็นสถาบันแรกที่ปรับลดทั้งมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจไทยและอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เป็นรายแรกมีดังนี้

มูดี้ส์ (Moody’s) ปรับลดแนวโน้มเครดิตประเทศไทย: คำเตือนที่ไม่ควรมองข้าม มูดี้ส์เพิ่งประกาศปรับลดแนวโน้ม (outlook) ของเครดิตประเทศไทยจาก Stable เป็น Negative โดยให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างอยู่แล้ว และเมื่อรวมกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์รอบใหม่ ยิ่งทำให้ความเสี่ยงต่อการเติบโตและวินัยการคลังของไทยสูงขึ้นอีก คำเตือนนี้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในจุดเปราะบาง และที่สำคัญกว่านั้นคือ มู้ดี้ส์ยังไม่ได้ใส่จากปัจจัยเกี่ยวกับแผนการกู้เงินเพิ่มเติมที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่

ทำไมต้องจับตา? เพราะอาจมีเจ้าอื่นปรับตาม การปรับแนวโน้มไม่ได้แปลว่าเขาจะปรับอันดับน่าเชื่อถือ หรือ credit rating ของไทย แค่มองว่ามีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น และในอดีต เคยเห็นเอสแอนด์พี S&P และฟิทช์ Fitch ปรับตามมูดี้ส์ Moody’s หลายครั้ง เช่น ช่วงวิกฤตปี 1997 วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และ 2008 วิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินล่มสลาย หากประเมินว่าความเสี่ยงต่อฐานะการคลังมีมากพอ ก็มีโอกาสที่แนวโน้ม หรือ outlook หรือแม้แต่อันดับการลงทุน หรือ rating จะถูกปรับลงได้เช่นกัน และจะกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมเงินของรัฐบาล จนกระทบต่อความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก

ข้อจำกัดด้านการคลังของไทย: ขยับได้แค่นี้ ต้องเจอกับกำแพงคู่ที่ทำให้การคลังขยับได้ยาก

1. ข้อจำกัดด้านงบขาดดุล ตามกฎหมายการคลัง เราสามารถขาดดุลได้แค่ไม่เกิน 20% ของงบรายจ่ายประจำปีบวกกับ 80% ของงบชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งตีคร่าว ๆ แล้วได้ประมาณ 4.5% ของ GDP ไทยใช้เพดานนี้ไปหมดแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณก่อนปีนี้ก็เท่านี้ และปีหน้าก็จัดเต็มเพดานกู้เงินไปแล้วอีก ถ้าจะใช้เงินเพิ่ม ต้องออก พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน อย่างเดียวเท่านั้น

และ 2.ข้อจำกัดด้านระดับหนี้สาธารณะ ตอนนี้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีประเทศไทยอยู่ที่ 64% และคาดว่าจะพุ่งแตะ 70% ในไม่กี่ปี หากเรากู้เพิ่มตอนนี้ ก็มีโอกาสทะลุเพดานเร็วกว่าที่ควร

กระตุ้นเศรษฐกิจได้แต่ต้องคิดให้หนักขึ้น ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรทำอะไร เพราะถ้าเศรษฐกิจชะงัก แล้วรัฐไม่อัดฉีดอะไรเลย ผลกระทบอาจรุนแรงกว่าเดิม แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ จะใช้เงินไปทำอะไร? มากกว่าจะกู้เท่าไร?

1. หาวิธีใช้เงินที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าเอาเงินไปแจก แล้วเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง ภาระหนี้รัฐบาลต่อจีดีพีจะพุ่งเร็วมาก แต่ถ้าใช้เงินไปกับโครงการที่มีตัวทวีคูณ หรือ multiplier สูง หนี้เพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขจีดีพีขึ้นตาม สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีก็จะไม่แย่ลง

2. ต้องมีแผนลดหนี้ที่น่าเชื่อถือ ตลาดและสถาบันจัดอันดับอยากเห็นว่าการกู้ครั้งนี้เป็นการใช้เงินระยะสั้นในยามจำเป็น และเรามีแผนชัดเจนที่จะลดการขาดดุลในอนาคต นั่นหมายถึงต้องเริ่มปฏิรูปการคลัง: ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ลดการรั่วไหล (โดยเฉพาะการคอร์รัปขั่น) ขยายฐานภาษี (ถ้าจำเป็น) ปรับอัตราภาษีบางประเภท

สรุปนี่คือคำเตือนเสียงดังๆจากหนึ่งในสถาบันจัดอันดับชั้นนำของโลก ไทยควรรับฟัง และใช้โอกาสนี้ทบทวนว่านโยบายการคลังของไทยควรปรับตัวอย่างไรให้ ทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และรักษาความน่าเชื่อถือทางการคลังในระยะยาว อย่ารอให้ถูกปรับอันดับเครดิตจริง ๆ แล้วค่อยขยับ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles