นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ. สนค.) เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน ไตรมาสที่ 3 ปรับลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2568 โดยมีสาเหตุจากความต้องการในการขนส่งสินค้าลดลงในช่วงฤดูฝน ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลในประเทศซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของภาคการขนส่งยังทรงตัว และคาดว่าในระยะต่อไปดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนจะยังคงปรับตัวลดลง
ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน โครงสร้างแบ่งตามกิจกรรมการผลิต ไตรมาสที่ 3 ลดลงร้อยละ 0.3 (YoY) เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567 โดยดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนปรับตัวลดลงใน 2 หมวดผลิตภัณฑ์คือ ผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมและการประมง ลดลงร้อยละ 1.6 จากการลดลงของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง ลดลงร้อยละ 0.2 จากการลดลงของผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากการทำเหมือง และถ่านหินและลิกไนต์ สำหรับหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง
ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน โครงสร้างแบ่งตามประเภทรถ ไตรมาสที่ 3 ลดลงร้อยละ 0.1 (YoY) เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567 โดยเป็นการลดลงของประเภทรถที่บริการขนส่งสินค้า ได้แก่ รถกระบะบรรทุก ลดลงร้อยละ 0.1 รถตู้บรรทุก ลดลงร้อยละ 0.2 รถบรรทุกของเหลว ลดลงร้อยละ 0.7 และรถบรรทุกเฉพาะกิจ ลดลงร้อยละ 0.8 ส่วนดัชนีค่าบริการขนส่งโดยรถบรรทุกวัสดุอันตราย สูงขึ้นร้อยละ 0.5 รถพ่วง สูงขึ้นร้อยละ 0.1 และรถกึ่งพ่วงบรรทุกวัสดุยาว ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลักหลายประการ ได้แก่ ต้นทุนด้านพลังงานของผู้ประกอบการยังทรงตัว ปริมาณการขนส่งสินค้าที่ลดลงในช่วงฤดูฝน และการแข่งขันที่รุนแรงในภาคการขนส่ง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่มีอำนาจในการกำหนดราคาค่าบริการได้มากนัก จึงต้องยอมปรับลดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้า รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยชะลอตัวจากภาวะไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ส่งผลกระทบให้การจ้างขนส่งวัสดุก่อสร้างมีปริมาณลดลง
สำหรับแนวโน้มดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน ไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 โดยมีปัจจัยสำคัญจากราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นต้นทุนการดำเนินงานหลักของผู้ประกอบการขนส่งมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบกับผู้ให้บริการขนาดเล็กและขนาดกลางต้องเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกิน ทำให้มีการตัดราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งกดดันให้ราคาค่าขนส่งโดยรวมลดลง รวมทั้งภาคการขนส่งอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้อุปสงค์ในการอุปโภคและบริโภคสินค้าลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจจากการใช้มาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการส่งออกสินค้าของผู้ประกอบการในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความต้องการอุปโภคและบริโภคอาจเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปี รวมทั้งผู้ประกอบการและผู้ค้าปลีกอาจมีการเร่งระบายสต๊อกสินค้าและส่งมอบสินค้าให้ทันก่อนวันหยุดยาว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลให้ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนไม่เป็นไปตามที่คาดได้
ทั้งนี้ จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นภาครัฐและผู้ประกอบการขนส่งควรเร่งพิจารณาถึงความท้าทายใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาถึง ผู้ประกอบการควรพิจารณาปรับกลยุทธ์โดยการใช้รูปแบบการขนส่งที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกและลดความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางรางและทางน้ำ การส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อการวางแผนเส้นทางที่แม่นยำ และการสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลกลางเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที เพื่อรองรับความต้องการในยุคดิจิทัล และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคโลจิสติกส์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว