‘สภาพัฒน์’ เปิดข้อมูลบ้านถูกยึด ผ่อนต่อไม่ไหว พุ่ง 210% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้าน กรมบังคับคดีประกาศขายมูลค่าแตะ 1.2 แสนล้าน 67,641 หน่วย

‘สภาพัฒน์’ เปิดข้อมูลบ้านถูกยึด ผ่อนต่อไม่ไหว พุ่ง 210% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้าน กรมบังคับคดีประกาศขายมูลค่าแตะ 1.2 แสนล้าน 67,641 หน่วย

นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยระหว่างการแถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2568 วันนี้ (24 พ.ย.) ว่าจากข้อมูลหนี้สินครัวเรือนที่ สศช.ติดตามข้อมูลพบว่ามีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่การเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้บ้านก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี โดยปัจจุบันพบแนวโน้มที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและขายทอดตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องเร่งรัดให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดี เพื่อลดผลกระทบต่อการสูญเสียที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้

โดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์พบว่าที่อยอยู่อาศัยที่ถูกยึดและขายทอดตลาดมีจำนวนทั้งสิ้น 67,641 หน่วย รวมมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 210.1% แะยังพบว่าส่วนใหญ่เป็นบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลหลักที่มีการยึดบ้านหรือที่อยู่อาศัยมาขายทอดตลาดเนื่องจากลูกหนี้กลุ่มนี้ขาดความสามารถในการผ่อนต่อได้หลังจากภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหลังจากการผ่อนในช่วงแรกแล้ว เมื่อมาเจอดอกเบี้ยในการกู้เพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาต่อมาจึงไม่สามารถผ่อนต่อได้ไหว และกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ย

จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า 1 ใน 3 ของของลูกหนี้ในคดียึดทรัพย์ยังคงติดอยู่ในวงจรหนี้ แม้ทรัพย์สินจะถูกขายทอดตลาด ยังอาจถูกยึดทรัพย์หรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมจึงต้องเร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีเพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียสีที่อยู่อาศัย

ส่วนสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนไตรมาสสอง ปี 2568 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.31 ล้านล้านบาท ลดลง 0.3% ต่ำสุด 6 ไตรมาส ตามการหดตัวของสินเชื่อสถาบันการเงิน ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 86.8% จาก 87.1% ของไตรมาสหนึ่ง ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) จากข้อมูลเครดิตบูโรมีมูลค่า 1.24 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวม 9.11% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% ของไตรมาสที่ผ่านมา และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ

อย่างไรก็ตามสัดส่วนสินเชื่อที่ค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือน (SMLs) ต่อสินเชื่อรวมปรับลดลงจากมาตรการ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่วนสถานการณ์ในระยะต่อไปมองว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนจะปรับเพิ่มขึ้นได้หลังจากที่โครงการปิดหนี้ไวไปต่อได้ที่มีการแยกเอาหนี้เสียที่เป็นหนี้ NPL ออกมาบริหารโดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) จะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องหนี้เสียในระบบทำให้ลูกหนี้แก้ปัญหาได้ตรงจุด และธนาคารพาณิชย์จะสามารถกลับปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles