สภาพัฒน์เผยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2 ปี 67 โตชะลอลงจากไตรมาสที่แล้วคิดเป็นมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัวที่ 1.3% ลดลงมาอยู่ที่ 89.6% ต่อจีดีพี หลังแบงก์เขี้ยวปล่อยสินเชื่อ ปล่อยกู้ยาก

สภาพัฒน์เผย หนี้ครัวเรือน ไตรมาส 2 ปี 67 โตชะลอลงจากไตรมาสที่แล้วคิดเป็นมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัวที่ 1.3% ลดลงมาอยู่ที่ 89.6% ต่อจีดีพี หลังแบงก์เขี้ยวปล่อยสินเชื่อ ปล่อยกู้ยาก

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เผยภาวะสังคมไทยในไตรมาส 3/67 สำหรับหนี้สินครัวเรือน (ไตรมาส 2/67) มีมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3% โดยชะลอลงจาก 2.3% ในไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ปรับลดลงจาก 90.7% ของไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 89.6%

โดยหนี้สินครัวเรือนเกือบทุกประเภทมีการปรับตัวชะลอลงหรือหดตัว ยกเว้นสินเชื่อส่วนบุคคล ส่วนหนึ่งมาจากการมีภาระหนี้ที่สูง ประกอบกับคุณภาพสินเชื่อที่ปรับลดลง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ สะท้อนจากเงินให้กู้แก่ภาคครัวเรือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 38.5% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดมีการหดตัวเป็นครั้งแรก

ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยยอดคงค้างสินเชื่อบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วัน (NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโรมีมูลค่า 1.16 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.48% เพิ่มขึ้นจาก 8.01% ของไตรมาสที่ผ่านมา เป็นการเพิ่มขึ้นในสินเชื่อทุกวัตถุประสงค์

สำหรับประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในระยะถัดไป ได้แก่ แนวโน้มการก่อหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภค-บริโภคส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น ในสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด โดยเป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง หากครัวเรือนไม่ระมัดระวังในการก่อหนี้ หรือไม่มีวินัยทางการเงิน จะนำไปสู่การติดกับดักหนี้ ,ความเสี่ยงจากการต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบของครัวเรือน จากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้มงวดต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกหนี้ที่กู้ในระบบเต็มวงเงินแล้ว, แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะบ้านที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 3 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่ารายได้ของครัวเรือนบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัว และสถานะทางการเงินยังตึงตัวจากการเลือกที่จะผิดนัดชำระหนี้บ้านก่อนสินเชื่อประเภทอื่น แม้ว่าบ้านจะถือเป็นสินทรัพย์จำเป็น, ผลกระทบของอุทกภัยต่อสภาพคล่อง และความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน

นายดนุชา กล่าวว่าหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงมาต่อเนื่องจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ขยายตัวขึ้น ดังนั้นถ้าสามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนให้ชะลอตัวลงเรื่อยๆ จะทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกันปฏิเสธไม่ได้ว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะหนี้สำคัญๆ ทั้งเรื่องความมั่นคงในชีวิตของคน อย่างหนี้บ้าน และที่ใช้ในการทำมาหากินอย่างหนี้รถ หรือหนี้ธุรกิจ

สำหรับรายละเอียดเรื่องมาตรการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ต้องรอฟังจากการแถลง เพราะเรื่องนี้ผูกพันกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งแน่นอนว่าการลดเงินนำส่งจะทำให้หนี้ FIDF ใช้เวลานานขึ้นในการใช้หนี้ให้หมด แต่ประเด็นสำคัญคือเป็นการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้โดยไม่ให้เกิดภาระกับงบประมาณที่มีข้อจำกัดอยู่

“ช่วงที่ผ่านมาสภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คุยกันเพื่อดูรูปแบบ และดูมาตรการโดยละเอียด ดังนั้นขอให้รอดูรูปแบบและรายละเอียดมาตรการอีกครั้ง ส่วนช่วงเวลาที่จะเริ่มโครงการ ถ้าคุยกันเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็คงจะเริ่มให้เร็ว ส่วนหนี้จะลดลงมากน้อยเท่าไรนั้น เนื่องจากหนี้เป็นก้อน และมีความหลากหลายในการใช้หนี้ ดังนั้นในระยะยาวจะทำให้หนี้ครัวเรือนปรับตัวลดลงได้ แต่จะลงเร็วแค่ไหนอยู่ที่ปริมาณคนที่เข้ามาในโครงการ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ก็พยายามทำออกมาเพื่อให้ลดหนี้ให้ได้มากที่สุด และต้องมีการติดตามด้วยว่าจะลดได้มากน้อยเท่าไร ประเด็นหลักคือพยายามแก้ปัญหาโดยเฉพาะบ้าน และรถ ให้ลดลงได้มากที่สุด” นายดนุชา กล่าว

ส่วนมาตรการในการป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ที่แก้หนี้สำเร็จแล้วกลับมาเป็นหนี้รอบใหม่นั้น นายดนุชา กล่าวว่าได้มีการพูดคุยกันในประเด็นนี้ ซึ่งจะมีมาตรการและเงื่อนไขว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นหนี้เรื้อรัง โดยมองว่าเป็นเรื่องวินัยการเงินของลูกหนี้เอง ซึ่งการช่วยเหลือรอบนี้เป็นการช่วยเหลือให้ลูกหนี้ได้หลุดพ้นออกมา และมีวินัยการเงินเพียงพอที่จะคิดก่อนจะก่อหนี้ใหม่

“ถ้าหลังจากนี้ไปแล้ว เขามีการเปลี่ยนแนวคิด หรือ Ecosystem ในการทำให้คนเป็นหนี้ยังง่ายอยู่เหมือนในปัจจุบันก็คงจะเป็นเรื่องที่ต้องมีการแก้ไข ย้ำว่าเรื่องวินัยการเงินส่วนบุคคลเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ที่ต้องคิดก่อนเป็นหนี้ ขณะเดียวกันมาตรการของ ธปท. ที่ออกมา เรื่องแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะกำกับไม่ให้คนที่ขาดความพร้อมในการเป็นหนี้มาก่อหนี้เพิ่ม” นายดนุชากล่าว

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles