นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง โดยเฉพาะต้นทุน อีกทั้งจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่รัฐบาลประกาศก็น่ากลัว ทำให้กำลังซื้อลดลง เอสเอ็มอีก็ลำบาก นอกจากต้นทุนแล้วรัฐต้องรีบแก้ไข คือ สินค้านำเข้าทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายมาแย่งตลาดในไทย
รัฐบาลควรต้องประกาศให้สินค้านำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นภาวะฉุกเฉิน และรีบเร่งแก้ไข ไม่อย่างนั้น ภาคการผลิตโดยเฉพาะเอสเอ็มอีจะไปไม่ไหว อีกทั้งก่อนหน้านี้ เอกชนได้ตรึงราคาสินค้าไว้ก็ต้องปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคอ่อนแอก็ทำให้ธุรกิจไทยไม่สามารถเอาตัวรอดได้ เพราะผู้บริโภคก็ไม่ซื้อสินค้า
ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทยและอาเซียน รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนของ เศรษฐกิจโลก และผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในตลาดโลก รวมถึงปัญหาความไม่สงบในประเทศเมียนมาที่ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดน จึงต้องอาศัยมีปัจจัยบวกจากการเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2567 จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้นทุนใหญ่ของเอสเอ็มอีคือ ค่าแรง หากปรับขึ้นตามเป้าจะเพิ่มต้นทุนไม่ต่ำกว่า 20% หากเป็นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แรงงานเข้มข้นจะมีต้นทุนระดับ 5-7% ส่วนค่าไฟ ถ้าเป็นอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟเยอะ เช่น โรงหล่อ โรงงานแก้ว เหล็ก เยื้อกระดาษ ต้นทุนก็จะขึ้นไปถึง 30-40% ถ้าใช้พลังงานน้อยก็จะกระทบราว 5-6%
ที่ผ่านมามีการปรับต้นทุน 10% ผู้ผลิตก็อาจจะปรับราคาสินค้า 5% เพราะยอดขายที่ลดลงก็ส่งผลให้มีการนำเข้าของสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น ของที่คนไทยผลิตก็ขายไม่ได้อีก ดังนั้น โดยรวมการขึ้นค่าแรงต้องดูความชัดเจนทุกด้าน ทั้งการตรึงราคาพลังงานภาคการผลิตก็ขึ้นไม่เหมือนกัน ใครที่ต้นทุนสูงกว่าก็ต้องค่อยๆ ขึ้น ยกเว้นแต่เป็นสินค้าที่หาทดแทนไม่ได้ อาจจะขึ้นได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย