วันนี้ 28 มิถุนายน 2024 สมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า จากกรณีมีการเปิดเผยรายงานของผู้รายงานพิเศษ (Special Rapporteur) ของสหประชาชาติ (UN) โดยระบุว่า มีธนาคารในประเทศไทยเป็นผู้ให้บริการทางการเงินหลักให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา นั้น
สมาคมธนาคารไทย ขอชี้แจงว่าสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักเกณฑ์การดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อลูกค้า สังคม และประชาคมโลกและตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยได้ยึดถือและปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบขององค์กรกำกับดูแล คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีการกำกับดูแลและตรวจสอบอย่างใกล้ชิด สร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบการเงินของประเทศไทย
นอกจากนี้ ธนาคารสมาชิก ยังมีหน่วยงาน Compliance ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านกฎระเบียบและการปฏิบัติงานของทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงฐานข้อมูลของบุคคล องค์กร และประเทศที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีรายชื่ออยู่ในรายการที่ห้ามทำธุรกรรมธนาคาร ซึ่งแต่ละธนาคารได้ดำเนินการปรับปรุงข้อมูลและแนวทางการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย มีนโยบายชัดเจน ไม่สนับสนุนการจัดซื้ออาวุธและสรรพาวุธกับองค์กรทางทหารของเมียนมา รวมถึงให้ความสำคัญต่อการป้องกัน และห้ามนำธุรกรรมทางเงินของภาคธนาคารไปใช้ในการจัดซื้ออาวุธที่นำไปใช้ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2024 ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิเสรีภาพแห่งสหประชาชาติ ประเทศเมียนมา หรือ United Nation Special Rapporteur on Human Rights in Myanmar เปิดเผยรายงานชื่อว่า ธุรกิจธนาคารบนการค้าความตาย หรือ Banking on the Death Trade: How Banks and Governments Enable the military Junta in Myanmar identifies พบว่า ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งอันดับ 1 ในการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจการเงินการเงินจัดซื้ออาวุธและสรรพาวุธให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา โดยผ่านกิจการธนาคารพาณิชย์ อันดับ 2 จีน อันดับ 3 สิงคโปร์ซึ่งเคยอยู่ในอันดับ 1 มาก่อน อัยดับ 4 อินเดีย อันดับ 5 รัสเซีย และอันดับ 6 มาเลเซีย โดยธุรกรรมการเงินและการจัดหาจัดซื้ออาวุธยุทธโทปกรณ์ และสรรพาวุธดังกล่าวกระทำผ่านสภาการจัดการแห่งรัฐ หรือ State Administration Council หรือ SAC ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลทหารเมียนมา
รายงานดังกล่าว ระบุว่า ในปี 2023 มูลค่าธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาจัดซื้ออาวุธและสรรพาวุธไปให้สภาการจัดการแห่งรัฐ หรือ State Administration Council หรือ SAC มีมูลค่ารวม 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4,440 ล้านบาท มูลค่าธุรกรรมดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นถึง 2 เท่าจากในปี 2022 ที่มีอยู่ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,220 ล้านบาท