สำนักข่าวชื่อดังระดับโลกหลายสำนัก เช่น รอยเตอร์ส ซีเอ็นเอ็น บลูมเบิร์ก นิกเคอิ เป็นต้น รายงานข่าวประเทศไทยยืนยันพบผู้ป่วยติดโรคเคลด หรือโรคฝีดาษลิงเป็นคนแรกในประเทศไทย และเป็นคนแรกในทวีปเอเชีย หลังจากผลการตรวจหาเชื้อสายพันธุ์เคลดทูบี (Clade Ib) ในผู้ติดเชื้อเป็นชายชาวยุโรปอายุ 66 ปี ให้ผลเป็นบวก ส่งผลเป็นผู้ป่วยรายแรกที่ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวอยู่ในประเทศไทย
นิกเคอิ รายงานว่า ผู้ป่วยคนดังกล่าวตรวจพบติดเชื้อสายพันธุ์เคลดวันบีเป็นคนแรกในประเทศไทย และเป็นคนที่ 2 ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวนอกทวีปแอฟริกา โดยผู้ป่วยคนแรกที่ติดเชื้อสายพันธุ์นี้อยู่ในประเทศสวีเดน สายพันธุ์เคลดวันบีสามารถติดต่อกันได้ง่ายมากด้วยการสัมผัสใกล้ชิด
ด้านสเตรทไทมส์ รายงานเมื่อเย็นวานนี้ 22 สิงหาคมว่า ชายชาวต่างชาติยุโรป อายุ 66 ปี แสดงผลตรวจเชื้อเป็นบวก ส่งผลให้ผู้ต้องสงสัยติดโรคเคลด หรือฝีดาษวานรคนดังกล่าวกลายเป็นผู้ติดโรคดังกล่าวเป็นรายแรกที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และกลายเป็นผู้ป่วยรายแรกในทวีปเอเชีย ที่สำคัญเป็นรายแรกในอาเซียนด้วย
นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีรายงานออกมา และยืนยันผลพบเชื้อฝีดาษวานร สายพันธุ์ clade Ib ถือเป็นผู้ป่วยรายแรกที่ได้รับการวินิจฉัยในประเทศไทย ซึ่งต่อจากนี้ต้องรายงานผลไปยังองค์การอนามัยโลกตามมาตรฐาน IHR พร้อมกันนี้ ได้กำชับไปยังกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรคทุกด่าน โดยเฉพาะด่านที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้เข้มงวดมาตรการ ในผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาด และไม่ว่าจะเปลี่ยนเครื่องที่ไหน หากต้นทางเป็นประเทศที่มีการระบาด ต้องลงทะเบียนผ่านระบบ Thai Health Pass และต้องผ่านกระบวนการคัดกรองกับเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศฯ
สำหรับการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายดังกล่าว จำนวน 43 ราย ขณะนี้ยังไม่พบรายใดมีอาการป่วย ซึ่งกรมควบคุมโรคยังคงเฝ้าระวังและติดตามอาการอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบ 21 วัน หากมีอาการไข้ มีผื่น ต่อมน้ำเหลืองโต ให้รีบเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลทันที
นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยมีมาตรการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากในพื้นที่เขตติดโรคไข้เหลือง 42 ประเทศ โดยกำหนดให้ผู้ที่เดินทางลงทะเบียนผ่านระบบ Thai Health Pass และต้องผ่านกระบวนการคัดกรองกับเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคฯ ซึ่งผู้โดยสารจะได้รับการวัดอุณหภูมิร่างกาย สอบถามอาการ และสังเกตผื่นตามร่างกาย หากมีอาการเข้าได้กับโรคฝีดาษวานร จะมีการแยกกักผู้เดินทาง ซักประวัติ ตรวจร่างกายเพิ่มเติม พร้อมเก็บสิ่งส่งตรวจ เพื่อส่งห้องปฏิบัติการของด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศฯ และส่งผู้ป่วยต่อไปยังสถาบันบำราศนราดูร
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการที่เตรียมพร้อมสำหรับการคัดกรองและกักกันโรคเพิ่มเติม ดังนี้
1. ให้ผู้เดินทางที่เดินทางมาจาก 42 ประเทศเขตติดโรค และประเทศที่มีการระบาดของโรคฝีดาษวานร ลงทะเบียนระบบ Thai Health Pass ล่วงหน้า ก่อนเข้าสู่ระบบ Check in ของสายการบิน ณ ประเทศต้นทาง
2. เมื่อผ่านด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศฯ จะต้องผ่านการคัดกรอง และวัดอุณหภูมิร่างกายด้วย handheld thermoscan หากอุณหภูมิเกิน 36.8 องศาเซลเซียส จะต้องวัดอุณหภูมิทางหูซ้ำอีกครั้ง ซักประวัติ อาการเพิ่มเติม จึงจะผ่านไปยังพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และหากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองพบเจอผู้โดยสาร ที่มีอาการเข้าได้กับโรคฝีดาษวานร ให้ส่งกลับมารับการตรวจเพิ่มเติม ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศฯ
3. มีการแจก Health Beware Card สำหรับผู้เดินทางทุกคน จากประเทศเสี่ยง กรณีมีอาการหลังจาก เข้าประเทศ ให้รายงานอาการผ่าน QR code ที่ปรากฏบน Health Beware Card เพื่อให้ทางกรมควบคุมโรคได้ติดตามต่อเนื่อง และเข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
4. กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค เตรียมความพร้อมสำหรับการกักกัน หากมีการ แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง โดยเตรียมอาคารกักกันโรค 4 ชั้น จำนวน 60 ห้อง หากมีการเดินทางแบบครอบครัวจะมีห้องกักกันแบบกลุ่มเตรียมสำรองไว้พร้อม