สถานการณ์ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก สหรัฐ ที่ดำดิ่งย่ำแย่ต่อเนื่องด้วยแรงเทขายหุ้นอย่างหนักทุกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในดัชนีหุ้นนาสแดคนับตั้งแต่เริ่มเดือนสิงหาคม ซึ่งผ่านมาได้ 2 วันทำการติดกัน และเข้าสู่วันนี้ 5 สิงหาคมเป็นวันทำการที่ 3 นั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของ 7 บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก หรือ Magnificent 7 (หุ้น 7 นางฟ้า) ได้แก่ แอปเปิล เอ็นวีเดีย อัลฟาเบธ(กูเกิ้ล) อเมซอน ไมโครซอฟท์ เมตา(เฟสบุ๊ก) และเทสลา มีราคาก่อนเริ่มเปิดตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดำดิ่งอย่างรุนแรงรวมกันถึง -12.2% ไปด้วย
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า มูลค่าของบริษัททั้ง 7 แห่งจะสูญหายรวมกันมากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 36 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มบริษัทที่ผลิตไมโครชิปล้วนมีราคาหุ้นก่อนเปิดตลาดตกต่ำด้วยกันทั้งสิ้น เช่น เอเอ็มดี อินเทล เอสเอ็มซีไอ และบรอดคอมพ์ ทั้งหมดตกต่ำมากถึง -10.3%
สาเหตุจากปัจจัยลบรุนแรงที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันศุกร์ในสัปดาห์ผ่านไป นักลงทุนไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจสหรัฐ และผิดหวังอย่างมากต่อผลประกอบการของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่หลายแห่ง เริ่มจาก ยอดจ้างงานชาวอเมริกันนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียง 114,000 คน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มากที่ระดับ 175,000 คน นอกจากนี้ อัตราการว่างงานในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ทำสถิติว่างงานสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปีผ่านมา และยังเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันด้วย นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 4 เดือน หรือตั้งแต่กุมภาพันธ์ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้น อายุ 10 ปี ปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 4% ต่อเนื่อง ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน หรือตั้งแต่ธันวาคม 2023