ดัชนี SET หุ้นไทย ปิดที่ 1,189.66 จุด เพิ่มขึ้น 13.49 จุด หรือ 1.15% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 42,722.37 ล้านบาท โดยตลาด หุ้นไทย เคลื่อนไหวในแดนบวก ตอบรับกระแสโบรกเกอร์ต่างชาติ ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทย ทำให้มีการช้อนซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก และท่องเที่ยว
3 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่
1.AOT ราคาปิด 41.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +3.80% มูลค่าซื้อขาย 2,439,052.88 ล้านบาท
2.KBANK ราคาปิด 157.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +0.96% มูลค่าซื้อขาย 2,257,374.50 ล้านบาท
3.CPALL ราคาปิด 51.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ +1.49% มูลค่าซื้อขาย 1,841,051.23 ล้านบาท
บล.เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้หลังจาก UBS ปรับคำแนะนำหุ้นไทยเป็น Overweight รวมทั้งมีปัจจัยจำนวนหนึ่งสนับสนุนไม่ว่าจะเป็น ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับ valuation ที่ต่ำมาก ทำให้ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว เมื่อมีปัจจัยกระตุ้นเพียงเล็กน้อย เช่น การปรับคำแนะนำจาก UBS ก็สามารถส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้ แต่ยังกังวลว่าการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้อาจไม่มีความต่อเนื่อง หากไม่มีกระแสเงินเข้าสนับสนุนจากนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ ตลาดอาจจะย่อตัวลงอีกครั้ง
ส่วนแนวโน้มวันพรุ่งนี้จะยังคงมีความผันผวน และอาจเห็นการทำกำไร (Take Profit) บางส่วน เนื่องจากปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดขึ้นยังไม่มีความต่อเนื่อง และยังไม่เห็นกระแสเงินลงทุนที่ชัดเจน ให้แนวรับไว้ที่ประมาณ 1,170-1,175 จุด และแนวต้านที่ประมาณ 1,200 จุด
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สถิติการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปี 67 พบว่า มีการจ่ายเงินปันผลรวม 864 ครั้ง รวมเงินปันผลจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมกว่า 593,610 ล้านบาท หมวดธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธนาคาร และหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยบริษัทจดทะเบียนในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นด้วยมูลค่ามากที่สุด มีมูลค่ารวมกว่า 170,148 ล้านบาท