ดัชนี SET Index ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,396.96 จุด ปรับขึ้น 13.03 จุด หรือ +0.94% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 50,709.59 ล้านบาท ดัชนีปรับขึ้นทดสอบ 1,400 จุดแต่ยังไม่สามารถยืนได้ โดยทำจุดต่ำสุด 1,385.92 จุด และสูงสุดที่ 1,400.63 จุด
3 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
1. AOT มูลค่าการซื้อขาย 3,446.51 ล้านบาท ปิดที่ 64.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท
2. PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,426.53 ล้านบาท ปิดที่ 153.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
3. BCH มูลค่าการซื้อขาย 1,346.80 ล้านบาท ปิดที่ 22.20 บาท ลดลง 0.70 บาท
ส่วนตลาด SET 50 ปิด 855.37 จุด ปรับขึ้น +8.85 จุด หรือ +1.05% มูลค่าการซื้อขาย 27,734.65 ล้านบาท และตลาด mai ปิดที่ 416.82 จุด ปรับขึ้น +6.26 จุด หรือ +1.52%% มูลค่าซื้อขาย 2,474.46 ล้านบาท
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะจีนและฮ่องกง ตอบรับจิตวิทยาบวก 3 เรื่อง คือ ภาพตลาดโลกเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อมุมมองดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากเดิมที่คาดว่าจะปรับลด 6 ครั้ง ล่าสุดเหลือ 4.5 ครั้ง สอดคล้องกับ MUFG คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยราว 4 ครั้ง สะท้อนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) มีโอกาสปรับลงหลังพุ่งขึ้นมาแรง
ขณะที่ยังได้แรงหนุนจากโมเมนตัมเศรษฐกิจไทยเริ่มดูดีขึ้น โดยเฉพาะจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง อาจเป็นปัจจัยหนุนต่อการปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ รวมถึงจีนให้ความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้นอย่างมาก โดยล่าสุดนายสี เจิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เข้าพบ ก.ล.ต. จีน เพื่อผลักดันนโยบายสนับสนุนตลาดหุ้นที่ออกมาให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งการควบคุม Short Sell หุ้น ให้กองทุนขนาดใหญ่หยุดปล่อยหุ้นให้ยืม Short และปรับลดระดับ Margin Call ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อลดการถูกบังคับขาย
วันพรุ่งนี้แนะจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อหาสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ย โดยคาดตลาดฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ ให้แนวต้านที่ 1,410 จุด และแนวรับ 1,390-1,380 จุด