นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การพิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทตามนโยบายของรัฐบาลอาจมีความล่าช้าออกไป ยิ่งล่าช้ามากเท่าไหร่ย่อมทำให้ “แรงงาน” ระดับล่างทักษะต่ำแรกเข้าต้องก่อหนี้เพิ่มให้มีเงินเพียงพอต่อการดำรงชีพและเลี้ยงดูครอบครัวเพิ่มขึ้ โดยแรงงานระดับล่างทักษะต่ำส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกในครัวเรือนที่อัตราการพึ่งพิงสูง แรงงานส่วนใหญ่ของไทยเวลานี้เป็น Sandwich Generation เป็นกลุ่มคนที่ต้องดูแลพ่อแม่สูงอายุไม่ได้ทำงานพร้อมกับดูแลลูกด้วยในขณะเดียวกัน แรงงานกลุ่มนี้จะไม่มีเงินออมเลย จะมีแต่หนี้สินเนื่องจากมีรายจ่ายเกินกว่ารายได้มาก การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงเพียงช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจลงได้บ้างเท่านั้น ต้องอาศัยมาตรการอื่นๆด้วยจึงช่วยแก้ปัญหาได้
ส่วนการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำเป็นอัตราเดียวทั่วประเทศจะช่วยลดการอพยพย้ายถิ่น ต้นทุนของครัวเรือนและสังคมลดลง คุณภาพชีวิตดีขึ้นลดความแออัดและการกระจุกตัวของความเจริญทางเศรษฐกิจ การจ้างงานในกรุงเทพปริมณฑลและเมืองหลัก โรงงานและการจ้างงานจะกระจายไปยังต่างจังหวัดไกลศูนย์กลางทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ไทยมีปัญหาการกระจุกตัวของการผลิตและการจ้างงานสูง เกิดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่สูงจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข กรุงเทพและปริมณฑลมีการจ้างงานในระบบ 6-7 ล้านคน มีสถานประกอบการในระบบกว่า 239,000 แห่ง มีจีดีพีอยู่ที่ 7.5-7.6 ล้านล้านบาทและมีโอกาสการมีงานทำสูงสุด เป้าหมายทางนโยบายสาธารณะต้องลดการกระจุกตัวและกระจายโอกาสในการจ้างงานไปยังทั่วทุกภูมิภาค
การย้ายแหล่งการผลิตและการจ้างงานไปยังต่างจังหวัดตามภูมิภาคต่างๆ จะเกิดผลดีต่อพื้นที่ และ เกิด”ตัวทวีคูณท้องถิ่น” (Local Multiplier) นอกจากนี้ยังลดปัญหาความแออัด ปัญหามลพิษทางอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสลัมในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ การแตกสลายของสถาบันครอบครัวในชนบทจากการที่พ่อแม่ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม การกระจายการลงทุน กระจายภาคการผลิตและโรงงานไปยังพื้นที่ต่างๆต้องมีมาตรการจูงใจเพิ่มเติม เนื่องจากการใช้ระบบอัตราค่าจ้างขั้นต่ำหลายอัตราเป็นปัจจัยหนึ่งในการดึงดูดให้โรงงานย้ายฐานการผลิตไปยังจังหวัดที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่ำหรือพื้นที่ห่างไกลความเจริญ
ทั้งนี้ คณะกรรมการไตรภาคีกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรมีความชัดเจนในเรื่องการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทภายในไตรมาสสี่ หากมีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทได้ภายในไตรมาสสี่จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การจ้างงานและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานให้ดีขึ้น ทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างใกล้เคียงกับค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีพมากขึ้น การปรับเพิ่มค่าจ้างเป็นการช่วยทำให้จีดีพีเติบโตสูงขึ้นอย่างชัดเจน
สิ่งนี้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งในสหรัฐอเมริกา จากนโยบายของรัฐบาลโจ ไบเดน ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 4,000 บาทต่อวัน) หรือ เวียดนามปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ หรือจีนปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำอย่างก้าวกระโดดหลายปีก่อนเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำหลังการเปิดเสรีเศรษฐกิจเติบโตสูงแต่กระจุกตัว
กรณีของไทย การปรับค่าจ้างจะทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเพราะค่าจ้างเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในรายได้ประชาชาติของประเทศ ค่าจ้างจึงเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของภาคการบริโภคที่จะส่งต่อภาคธุรกิจในที่สุด ค่าจ้างแรงงานคิดเป็น 39-42% รายได้ประชาชาติ รายได้จากการประกอบการธุรกิจคิดเป็นสัดส่วน 20% รายได้จากทรัพย์สินคิดเป็นสัดส่วน 6% รายได้เกษตรกร 7% หากคณะกรรมการไตรภาคีปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำภายในปีนี้ จะไม่ส่งผลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มสูงมากนักยังไม่เห็นสัญญาณใดๆของเงินเฟ้อจากอุปสงค์ภายในร้อนแรง การขึ้นค่าแรงจะทำให้อัตราเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายเท่านั้น และมองว่าการปรับเพิ่มค่าจ้างยังทำให้เกิดการปรับตัวของภาคการผลิตให้นำเทคโนโลยีเครื่องจักรอัตโนมัติ หุ่นยนต์ หรือ เอไอ มาแทนแรงงานมนุษย์เพิ่มขึ้น การปรับตัวของภาคธุรกิจจะทำให้ผลิตภาพของทุนและระบบเศรษฐกิจดีขึ้น
ภาวะดังกล่าวจะส่งผลต่ออัตราการว่างงานเล็กน้อยมากเพราะสังคมไทยเผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงานทุกระดับทักษะอยู่ ความไม่สมดุลตลาดแรงงานท้าทายภาคการผลิตไทยมากขึ้นตามลำดับ ประชากรในวัยทำงานของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องและในอัตราเร่งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560
ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยปี 2566 มีผู้สูงวัย 20% วัยแรงงาน 63% และวัยเด็กเพียง 16% ประชากรในวัยทำงานปัจจุบันอยู่ที่ 42 ล้านคน และ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ขณะนี้บางกิจการ บางอุตสาหกรรมสามารถทำการผลิตต่อไปได้โดยอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน บางอุตสาหกรรมปรับใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ ระบบหุ่นยนต์และเอไอมากขึ้น พึ่งพิงแรงงานมนุษย์ลดลงและผลิตภาพเพิ่มสูงขึ้น จากงานวิจัยของ ธนาคารโลก เรื่อง “Aging and the Labour Market in Thailand พบว่า ภาวะประชากรสูงวัยส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดแรงงานไทยและการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม
จำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลงของประเทศไทยส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของบุคคลในประเทศเติบโตลดลงและหากไม่มีการปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้การเติบโตของ GDP ต่อหัวลดลงอีกร้อยละ 0.86 ในทศวรรษ 2020 ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างมาก