นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ผลจากเฟดปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50% ถือเป็นสัญญาณที่ดีเพราะลดค่อนข้างแรงและเป็นสัญญาณว่าประเทศไทย กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจกิจไทย ทำให้ค่าเงินบาทเสถียรภาพและเกิดการลงทุนมากขึ้น ในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ลดภาระผู้ซื้อบ้าน โดยทุก 0.25% มีผลให้ค่าผ่อนลดลง 200 บาทต่อเดือน ขณะเดียวกันจะทำให้คนหันไปรีไฟแนนซ์มากขึ้น ด้านกลุ่มผู้ซื้อใหม่เมื่อดอกเบี้ยถูกลงไปอีกจากปัจจุบันทำให้คนสามารถกู้ได้วงเงินมากขึ้นและงวดผ่อนน้อยลง จะเป็นตัวกระตุ้นให้คนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามเฟด เนื่องจากปัจจุบันการที่ กนง.ไม่ลดดอกเบี้ย กระทบต่อค่าเงินบาทแข็งค่าเร็ว เพราะวันนี้ค่าเงินบาทเทียบกับเงินหยวนแข็งค่าเร็ว 7-8% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ หาก กนง.มีการลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้สร้างดีมานด์ใหม่การซื้อที่อยู่อาศัยได้ในช่วงไตรมาส 4 นี้ที่มีคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่รอโอนกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งในนี้มีตลาดต่างชาติด้วย เมื่อดอกเบี้ยลดลงจะส่งผลทำให้เงินบาทอ่อนค่า ทำให้ต่างชาติมีการโอนมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าคนไทยจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากการลดดอกเบี้ยทุก 0.25% ทำให้ดีมานด์เพิ่มขึ้น 2% ส่วนผู้ประกอบการจะทำให้ลดภาระได้ 3% และมีผลต่อราคาขายบ้านลดลง 0.7% นอกจากนี้ ยังมีผลต่อการชำระคืนหนี้และเกิดการหมุนเวียนเรื่องของซัพพลายเชนต่างๆ ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และช่วยประคับประคองตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ให้ติดลบน้อยลง
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจภาพใหญ่ จะทำให้กระตุ้นกำลังซื้อคนในวงกว้างและทำให้ความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นฟื้น โดยเฉพาะตลาดกลาง-ล่างและลดภาระผู้ที่ต้องมีการออกหุ้นกู้ได้ ดังนั้น น่าจะถึงเวลาที่ กนง.ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องทบทวนนโยบาย LTV โดยยกเลิกชั่วคราวให้สอดคล้องกับนโยบายการคลังเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เกิดผลต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม