นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 นั้น หากสถานการณ์ภาพรวมทางเศรษฐกิจที่จะมีการขยายตัวระหว่าง 2.8–3.2% มีอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1–2% ที่สำคัญ อัตราดอกเบี้ย MRR เฉลี่ยทั้งปีของ 6 ธนาคารใหญ่อยู่ระหว่าง 6.8–7% และมีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เท่าที่มีในปัจจุบัน จะพบว่า ใรกรณีพื้นฐาน หรือเป็นไปได้นั้น จะเกิดการขยายตัวของหน่วยและมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ถึง 373,360 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 1.8% กรณีเลวร้ายที่สุดจะติดลบ 8.4% และกรณีดีที่สุด เมื่อรัฐบาลมีมาตรการออกมากระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ และธนาคารแห่งประเทศไทยกเลิกมาตรการแอลทีวี จะทำให้เติบโตได้ถึง 12%
สำหรับแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ในทั้งบ้านแรวราบ และคอนโดมิเนียมในปี 2567 นั้น คาดว่า สำหรับบ้านแรวราบ พบว่า กรณีพื้นฐาน หรือ Base Case จะมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบที่ 270,219 หน่วย ขยายตัว4.4% ในกรณีเลวร้ายที่สุด หรือ Worst Case อาจลดต่ำลงมากถึง –6.0 % และในกรณีดีที่สุด หรือ Best Case จะโอนมากถึง +14.9% สำหรับคอนโดมิเนียมนั้น พบว่า การหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมในกรณีพื้นฐาน หรือ Base Case จะมีจำนวน 103,141 หน่วย ซึ่งติดลบ –4.6% ในกรณีเลวร้ายที่สุด หรือ Worst Case จะลดต่ำลงมากถึง –14.1% และในกรณีดีที่สุด หรือ Best Case จะเพิ่มขึ้นเพียง +5 %
ด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน 1,087,499 ล้านบาท ในกรณีพื้นฐาน หรือ Base Case จะเพิ่มขึ้น 3.9% หรือกรณีเลวร้ายที่สุด หรือ Worst Case จะตกตกถึง –6.5% และกรณีดีที่สุด หรือ Best Case จะเพิ่มขึ้นถึง +14.3% จะมีจำนวนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบ 786,142ล้านบาท ในกรณีดีที่สุด หรือ Base Case เพิ่มขึ้น +5.9% ในกรณีเลวร้ายที่สุด จะลดต่ำลงมากถึง –4.7% และกรณีดีที่สุด หรือ Best Case จะเพิ่มสูงขึ้นถึง +16.5% และจะมีจำนวนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอาคารชุด 301,357 ล้านบาท หรือลดลง –1% ในกรณีเลวร้ายที่สุดหรือ Worst Case จะตกต่ำมากถึง –10.9% และในกรณีดีที่สุด หรือ Best Case จะขยายตัวได้ถึง +8.9%