รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศอินโดนีเซียเปิดเผยว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ใช้มาตรการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวตโดยเก็บในอัตราเต็มเพดานที่ 12%บังคับใช้กับเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพและบริการระดับพรีเมี่ยม ได้แก่ ข้าวนำเข้าที่มีคุณภาพชั้นดีจากต่างประเทศ ผลไม้ที่มีราคาแพงจากต่างประเทศ เนื้อวัววากิว และปูจักรพรรดิ สอดรับกับภาคบริการที่มีคุณภาพชั้นดีจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 12% ได้แก่ ค่าเล่าเรียนการศึกษาในสถาบันที่มีคุณภาพระดับพรีเมียม และบริการดูแลรักษาสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม สินค้าประเภทอุปโภคและบริโภคที่มีความจำเป็นกับประชาชนทั่วไป หรือหมู่มากจะได้รับการยกเว้นไม่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวตได้แก่ ข้าวในเกรดทั่วๆไป เนื้อสัตว์ ผัก ปลา ไข่ และน้ำตาล ในขณะที่สินค้าประเภททั่วไปที่ไม่เข้าข่ายสินค้าอุปโภคจำเป็นตามข้างต้นจะยังคงเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวตในอัตราเท่าเดิมที่ 11%
สาเหตุที่รัฐบาลประเทศอินโดนีเซียต้องประกาศใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวตสองอัตราในครั้งนี้ เป็นผลเนื่องจากใน 2-3 เดือนผ่านมานั้น ประชาชนชาวอินโดนีเซียจำนวนมากทั่วประเทศได้ประท้วงต่อนโยบายการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต ซึ่งเดิมที่จะประกาศบังคับใช้กับทุกประเภทสินค้า และบริการ นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจของอินโดนีเซียซึ่งต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อสูง ขณะที่หน่วยงานภาคเอกชนมีการตัดลดค่าใช้จ่ายด้วยการปลดพนักงานเป็นจำนวนมาก รวมถึงรายได้และกำลังซื้อของประชาชนชาวอินโดนีเซียที่ยังคงอ่อนแอ
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวตที่ มีอัตรา 11% และบังคับใช้กับทุกประเภทสินค้าและบริการนั้น ได้มีการปรับขึ้นเป็น 11% ในปี 2022 จนกระทั่งรัฐบาลอินโดนีเซียมีความจำเป็นในการที่จะต้องเพิ่มรายได้ของรัฐบาลด้วยการประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวตเป็น 12% ซึ่งจะต้องบังคับใช้ใน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2025 นี้
ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้กำหนดเป้าหมายในการหารายได้เพิ่มที่ 3.005 ล้านล้านรูเปี๊ยะอินโดนีเซีย หรือกว่า 6,520 ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบในปีงบประมาณหน้า โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญ คือ รายได้ 70% มาจากการประกาศเพิ่มอัตราภาษี