บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เรือธงการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกและการลงทุนปี 2568 จะอยู่ในสภาพของ “ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ” กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะคือ “การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)” เศรษฐกิจโลกจะถูกขับเคลื่อนด้วยแรงสำคัญ 4T ได้แก่
1. Transition – การเปลี่ยนผ่านจากภาวะเงินเฟ้อสูงมาสู่ภาวะ Soft Landing
2. Trump – การกลับมาของนโยบาย America First
3. Technology – พลังขับเคลื่อนจาก AI และเทคโนโลยีสีเขียว
และ 4. Turmoil – ความปั่นป่วนทั่วโลก อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโต 2.7% โดยความท้าทายส่วนใหญ่จะเกิดจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ทั้งด้านเศรษฐกิจและต่างประเทศ สินทรัพย์ที่น่าลงทุนคือ ทองคำ ตราสารหนี้คุณภาพดีใน 1H25 ตลาดหุ้นผันผวน เน้นไปที่เชิงรับและหุ้น Value ที่มีการฟื้นตัว แนะนำเลือกลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน อินเดีย และเวียดนาม ด้านตลาดหุ้นไทยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 22%YoY โดยมองเป้าหมาย SET Index ที่ 1,550 จุด กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนโดดเด่นจะเป็นกลุ่มมีการสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและเป็นกลุ่มเชิงรับ อาทิเช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มพาณิชย์
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมการลงทุนในปี 2568จะอยู่ในสภาพ “ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ” จึงประเมินว่ากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปีงูเล็กนี้คือ “การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)” ซึ่งต่างจากปีที่ 2567 ผ่านมาที่เคยให้มุมมองว่าเป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ A Year of Value Investing เนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นที่ราคาไม่ได้ undervalue เหมือนกับช่วงต้นปี 2567 แล้ว”
ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “เศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะถูกขับเคลื่อนด้วยแรงสำคัญ 4 ประการ (4T) ได้แก่
1. Transition – เศรษฐกิจโลกกำลังเดินทางสู่ภาวะ Soft Landing จากเศรษฐกิจที่ชะลอลง และเงินเฟ้อที่ลดลง
2. Trump – การกลับมาของนโยบาย America First ทั้งด้านการค้า, การเข้าเมือง และการคลัง สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
3. Technology – พลังขับเคลื่อนจาก AI และเทคโนโลยีสีเขียว
และ 4. Turmoil – ความปั่นป่วนทั่วโลก อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ อาทิ วิกฤตยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และการเผชิญหน้าในทะเลจีนใต้ ด้านเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 4 ประการ (4T) ได้แก่
1. Tightened Economy – ภาคการผลิตของไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
2. Time to Cut – นโยบายการเงินตึงตัวเกินไป ธปท. ต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยเร็วและต่อเนื่อง
3. Tax Reform – ภาครัฐจำเป็นต้องปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงวิกฤตการคลัง
และ 4. Temperature Rising – ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรง โดย InnovestX คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.7% จากปัจจัยหนุนด้านนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลาย ขณะที่นโยบายการเงินขึ้นอยู่กับการลดดอกเบี้ยของ ธปท. เป็นหลัก โดยหากลดช้าจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนมกราคม 2568 เราคาดการณ์ว่าการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนเติบโต 0.5% และ 2.2% ขณะที่นักท่องเที่ยวคาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน ด้านการส่งออกมีแนวโน้มไม่ขยายตัว”
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า “ความท้าทายสำคัญในปี 2568 ได้แก่
1. นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของนายโดนัลด์ ทรัมป์
2. ตลาดการเงินโลกจะผันผวนมากขึ้นไปตามกระแสของข้อมูล ข่าวสารที่คาดว่าจะมีความถี่เพิ่มขึ้นมาก
3. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ว่ายังมีแนวโน้มสดใส แต่ Valuation ของหุ้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้วทำให้มีโอกาสเกิดการปรับตัวลดลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ผิดคาด
4. เศรษฐกิจโลก กำลังเผชิญกับ 2ปัญหาใหญ่ คือ ระดับหนี้สูง และผลกระทบจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
และ 5. ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าจะส่งผลให้เกิด Currency war ตามมา ส่วนปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนตลาดการเงิน ได้แก่ นโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลาง และนโยบายกระตุ้นเศ00รษฐกิจของหลายๆ ประเทศ เช่น จีน เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ”
นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด “การจัดสรรเงินลงทุนปี 2568 ยังคงแนะนำลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยมีการใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยง สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงอยู่เสมอในปี 2568 ก็คือ “การเลือกลงทุน” เนื่องจากเป็นปีแห่งการเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) ดังนั้นการเติบโตของกำไรตลาดดังเช่นในปี 2567 นั้นอาจจะไม่ได้เห็นในปีนี้ นอกจากนี้ปัจจัยด้านการเมือง อย่างการมาของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้นถูกสะท้อนเข้าไปในราคาสินทรัพย์นับตั้งแต่รู้ผลการเลือกตั้ง เนื่องความกังวลด้านนโยบาย TRUMP 1.0 ว่าจะหวนกลับมาใน TRUMP 2.0 อีกครั้ง โดยเรามองว่ามีหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันทั้งเงินเฟ้อและเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้ภาพในอดีตนั้น อาจจะไม่ย่ำแย่เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายกังวล โดยเราแนะนำ “เลือกลงทุน” ในหุ้นกลุ่มเงินและหุ้นขนาดกลาง-เล็กสไตล์คุณค่าของสหรัฐฯ เพื่อรอรับจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ที่จะมาถึง พร้อมทั้งเน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นและได้รับกระทบด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในอดีตอย่างตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ในขณะที่ด้านตราสารหนี้นั้นเราแนะนำให้นักลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีอายุ (Duration) ไม่เกิน 3–5 ปี เพื่อล็อกผลตอบแทนและกระจายเสี่ยงในทองคำควบคู่กันไปด้วย”
ขณะที่นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวทิ้งท้ายว่า “ภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีแรกมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มดีและแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น แนวโน้มดอกเบี้ยยังเป็นการลดลงตามท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีการลดค่าใช้จ่ายและลดภาษีเป็นมาตรการสำคัญ แนะนำ กลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็กและหุ้นที่ได้ประโยชน์ด้านภาษีที่ลดลง ได้แก่ หุ้น HD, V, COST, WMT ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยการท่องเที่ยว การบริโภคและการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก ยังมีแนวโน้มที่ดี เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะที่สมดุล นอกจากนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดผลจากการชะลอตัวลงของการส่งออกได้ แนะนำ หุ้นขนาดใหญ่ เน้นตั้งรับในกลุ่มที่มีสัดส่วนภายในประเทศสูงในธีม 1) Value ได้แก่ AOT BBL CPALL 2) Dividend ได้แก่ AP BCP LHHOTEL 3) Laggard ได้แก่ BCH GPSC HMPRO และ 4) Mid-Small cap growth ได้แก่ AMATA AU INSET ”