นายชินจิ อาโอยามะ รองประธานกรรมการ ฮอนด้า มอเตอร์ เปิดเผยว่า การเปิดเจรจากับนิสสัน มอเตอร์ ในครั้งนี้ จะมีการพิจารณาทางเลือกหลายอย่าง ได้แก่ การควบรวม การเพิ่มทุนใหม่ หรือการจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกันแยกออกเป็นเอกเทศ หรือโฮลดิ้ง คอมพานี ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเปิดการซื้อขายในเช้าวันนี้ 18 ธันวาคม 2024 พบว่า ราคาหุ้นของบริษัทฮอนด้า มอเตอร์ ลดลง -3.4% ในทางตรงกันข้าม ราคาหุ้นของนิสสัน มอเตอร์ มีราคาเคลื่อนไหวพุ่งทะยานถึง 24% เมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวานนี้
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวมีขึ้นในเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นหลังจากในคืนที่ผ่านมามีการรายงานว่า ฮอนด้า มอเตอร์ เตรียมเปิดเจรจาควบรวมกับนิสสัน มอเตอร์ รวมถึงอาจนำมิตซูบิชิ มอเตอร์ เข้าร่วมภายในการจัดตั้งบริษัทใหม่ในรูปแบบประเภทโฮลดิ้ง คอมพานี แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดของทั้งทั้ง 2 บริษัทเปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นเบื้องต้น ซึ่งบทสรุปสุดท้ายจะยังคงขึ้นอยู่กับการเจรจาในรายละเอียดของทั้ง 2 ฝ่าย
หากการเจรจาเป็นไปในทิศทางบวก รวมถึงประสบความสำเร็จ จะส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นจะประกอบไปด้วยสองกลุ่มยักษ์ใหญ่ ได้แก่กลุ่มโตโยต้า มอเตอร์ และแบรนด์อื่นๆทั้งในเครือ และนอกเครือของโตโยต้า มอเตอร์ และกลุ่มที่สอง คือฮอนด้า นิสสัน และมิตซูบิชิ นายทัตซึโอะ โยชิดะ นักวิเคราะห์จากสำนักวิจัยบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ เปิดเผยว่าหากการเจรจาประสบความสำเร็จจะส่งผลดีในระยะสั้นต่อนิสสัน มอเตอร์ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาด้านการเงินให้บรรเทาเบาบางลง
สำหรับยอดขายในช่ว 6 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ายอดขายรถยนต์รวมทั่วโลกของทั้ง 3 ค่าย ได้แก่ ฮอนด้า นิสสัน และมิตซูบิชิอยู่ที่กว่า 4 ล้านคัน ซึ่งห่างจากยอดขายทั่วโลกของโตโยต้า มอเตอร์ที่ทำถึง 5.2 ล้านคัน ดังนั้นการเจรจาระหว่างฮอนด้ากับนิสสันซึ่งจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยูเร็วๆ นี้ย่อมกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ต้องการแข่งขันไม่เพียงทั้งผู้ผลิตรถยนต์นอกประเทศญี่ปุ่น แต่ยังรวมถึงการแข่งขันกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ของโตโยต้า มอเตอร์ ที่โตโยต้ามีการถือหุ้นอยู่อีก 3 แบรนด์ญี่ปุ่นชื่อดัง ได้แก่ มาสด้า ซูซูกิ และซูบารุ
ย้อนกลับไปในคืนผ่านมา 17 ธันวาคม 2024 นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า ฮอนด้า มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ 2 ในญี่ปุ่น และนิสสัน มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ 3 ในญี่ปุ่น เตรียมเปิดการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน โดยการตั้งบริษัทโฮลดิ้งส์ คอมพานี ขึ้นมา เพื่อให้ทั้งฮอนด้า และนิสสัน สามารถดำเนินธุรกิจผลิตรถยนต์และทำการตลาดเพื่อแข่งขันกับแบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของต่างประเทศ เช่น เทสลาจากสหรัฐ และแบรนด์รถอีวีสัญชาติจีน
ฮอนด้า และนิสสัน จะมีการเปิดแถลงข่าวเร็วๆ นี้ ด้วยการเปิดลงนามในบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งส์ คอมพานี ตามข้อมูลเบื้องต้น นอกจากนี้ บริษัทโฮลดิ้งส์ คอมพานี ดังกล่าวนั้น นิสสัน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ มากถึง 24% ซึ่งเป็นอึกหนึ่งผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในญี่ปุ่น จะนำค่ายรถมิตซูบิชิ มอเตอร์ เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งส์ คอมพานี ด้วย ซึ่งยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมแต่อย่างใด การควบรวมดังกล่าวจะส่งผลให้กลายเป็นกลุ่มบริษัทรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ในโลก ด้วยยอดขายรวมกัน 8 ล้านคัน อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถยนต์รวมกันทั่วโลกของฮอนด้า และนิสสันในปี 2023 อยู่ที่ 7.4 ล้านคัน
ในปัจจุบันฮอนด้า มอเตอร์ มีมูลค่าบริษัท อยู่ที่ 5.95 ล้านล้านเยน หรือ 38,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.33 ล้านล้านบาท ขณะที่ นิสสัน มอเตอร์ มีมูลค่าบริษัท อยู่ที่ 1.17 ล้านล้านเยน หรือ 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 259,920 ล้านบาท ซึ่งฮอนด้า มอเตอร์ มีมูลค่าตลาดใหญ่กว่านิสสัน มอเตอร์ ถึง 5 เท่า หากการเจรจาควบรวมกิจการด้วยการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง company เป็นผลสำเร็จและมีความชัดเจนแล้วจะกลายเป็นการควบรวมกิจการที่มีมูลค่าขนาดใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปีผ่านมา หรือนับตั้งแต่การควบรวมกิจการระหว่างค่ายรถยนต์เฟียต ไครสเลอร์ กับพีเอสเอ กลายเป็นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันมีชื่อว่า สเตลแลนทิส (Stellantis)
ทั้งฮอนด้า และนิสสัน ได้ เริ่มต้นเปิดการพูดคุยเจรจามาตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการสร้างความร่วมมือซึ่งกันและกันในลักษณะเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อย่างชัดเจนในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ด้วยการใช้ชิ้นส่วน และซอฟต์แวร์ในการผลิตรถยนต์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ในช่วงเวลานั้น ค่ายรถยนต์มิตซูบิชิ มอเตอร์ ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมกับทั้งสองแบรนด์ดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์รวมทั่วโลกในปี 2023 ที่ผ่านมา พบว่า โตโยต้ามอเตอร์ยังคงเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของโลก ด้วยยอดขายมากถึง 11.2 ล้านคัน อันดับที่ 2 โฟล์คสวาเก้น เอจี ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีและยุโรปมียอดขาย 9.2 ล้านคัน