ฮอนด้า มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่าได้จากนี้ไปถึงภายในปีงบประมาณ 2030 หรือถึงวันที่ 31 มีนาคม 2031 ตัดลดค่าใช้จ่ายในโครงการลงทุนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีมากถึง 30% คิดเป็นมูลค่าลดลงมากถึง 7 ล้านล้านเยนหรือ 48,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.61 ล้านล้านบาท ในขณะเดียวกันปรับเปลี่ยนนโยบาย และกลยุทธ์หันไปเน้นการผลิตรถยนต์ประเภทไฮบริด เนื่องจากตลาดรถอีวีชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าตลาดรถอีวีจะไม่ฟื้นกลับมาคึกคักอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้
นายโตชิฮิโร มิเบะ ประธานฮอนด้า มอเตอร์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาสภาพเงื่อนไขของตลาด แนวโน้มของนโยบาย และการกำกับดูแลภาวะสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีในครั้งแรกๆ ไม่สามารถที่จะนำไปปฏิบัติตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ก่อนหน้านี้ ฮอนด้า มอเตอร์ กำหนดโครงการผลิตรถอีวี และการพัฒนาซอฟท์แวร์ไว้สูงถึง 10 ล้านล้านเยน หรือกว่า 2.3 ล้านล้านบาทภายในปีงบประมาณสิ้นสุดมีนาคมปี 2031
ฮอนด้า มอเตอร์ ปรับลดคาดการณ์สัดส่วนรถอีวีและรถฟิวเซลล์ลงจากเดิมที่ 40% มาอยู่ที่ต่ำกว่า 30% ภายในปี 2030 ซึ่งสัดส่วนรถอีวีดังกล่าวจะอยู่ที่ราว 20% หรือคิดเป็น 700,000-750,000 คัน บนเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าจะต้องมียอดขายรถอีวีทั่วโลกปีละมากกว่า 3.6 ล้านคัน สำหรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์เครื่องไฮบริดนั้น กำหนดไว้ว่าจะเป็นตัวรถไฮบริดรุ่นใหม่ 13 รุ่นภายใน 4 ปี เริ่มตั้งแต่แต่ปี 2027 เป็นต้นไป
ประธานฮอนด้า มอเตอร์ กล่าวว่า ได้กำหนดเป้าหมายยอดขายรถยนต์ฮอนด้ารุ่นไฮบริดทั่วโลกที่ 2.2 ล้านคันภายในปีงบประมาณสิ้นสุด 31 มีนาคม 2031 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สูงขึ้นกว่า 2 เท่าของเป้าหมายที่กำหนดไว้ภายในสิ้นปีงบประมาณปัจจุบันเมื่อถึงวันที่ 31 มีนาคม 2026 โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ฮอนด้าเตรียมเปิดตัวรถยนต์ขนาดใหญ่ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด เนื่องจากเป็นตลาดที่ต้องการรถยนต์ที่มีขนาดและพื้นที่กว้าง
ทั้งนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกับมุมมองรถอีวีว่าเป็นทางออกที่เหมาะสมดีสำหรับรถยนต์สั่งโดยสารที่ต้องการให้เกิดความเป็นกลางของคาร์บอน ในด้านผลประกอบการในปีงบประมาณสิ้นสุด 31 มีนาคม 2026 ฮอนด้าคาดการณ์ผลกำไรสุทธิที่ 250,000 ล้านเยน หรือกว่า 57,375 ล้านบาท ซึ่งปรับลดลงมากถึง 70% เทียบจากปีงบประมาณ 2024
