นายโนริยา คาอิฮารา กรรมการ รองประธานบริหาร และตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ ญี่ปุ่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ในตลาดรถยนต์ เช่น ประเทศไทย สนามแข่งขันตลาดรถยนต์มีความเข้มข้นอย่างมาก และในภาพรวมแล้วฮอนด้าสูญเสีย ความสามารถในการแข่งขันในแง่ราคา ความท้าทายในขณะนี้อยู่เหนือกว่ายอดขายที่ลดลง ผู้ผลิตรถยนต์กำลังเร่งที่จะนำเสนอแพคเกจ และการลดราคาเพื่อที่จะจูงใจผู้ซื้อรถยนต์ นั่นหมายถึงการมีกำไรลดน้อยลง หรือเบาบางมากขึ้นสำหรับการขายรถยนต์ใหม่
ฮอนด้า มอเตอร์ เปิดเผยว่าคาดการณ์ยอดขายในตลาดเอเชียรวมถึงประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ขนาดใหญ่อันดับ 1 ของโลกนั้น รวมกันทั้งสิ้น 925,000 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ยอดขายที่ลดลงมากถึง 10% จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งเอาไว้ 1.09 ล้านคัน ก่อนหน้านี้ ฮอนด้า มอเตอร์ คาดการณ์ว่าจะขายรถยนต์ในเอเชียที่อยู่นอกจากตลาดจีน โดยลดน้อยลงราว 5,000 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายจริงในปีงบประมาณที่ผ่านไป ตัวเลขดังกล่าวกับขยายขึ้นเป็น 75,000 คัน
สำหรับยอดขายรถยนต์ฮอนด้าในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 1 ของอาเซียนนั้นพบว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 นี้ฮอนด้าปียอดขายรถยนต์ร่วงลงเกือบ 30% ในประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียนนั้นฮอนด้ามียอดขายลดลงถึง 18% และสำหรับตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ในอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทยฮอนด้ามียอดขายลดลง 12% ทั้งหมดเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา
แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์เปิดเผยว่า การแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนรายใหญ่เช่นบีวายดี กำลังกายเป็นสิ่งที่ยากลำบาก สำหรับผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นในตลาดรถยนต์อาเซียน รวมทั้งอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่คณะใหญ่อันดับหรือ
1 ของอาเซียน และประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของอาเซียน โดยเฉพาะการเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถอีวีในประเทศไทย ในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นเป็นการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีจำนวนมาก
ขณะนี้ความสนใจของผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นได้หันไปยังประเทศอินเดีย ฮอนด้า มอเตอร์ ได้ประกาศเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า ฮอนด้าจะทุ่มงบประมาณสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลกของฮอนด้า และทำให้อินเดียกลายเป็นหนึ่งในฐานการส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีของฮอนด้า สะท้อนถึงสัญญาณสำคัญ ของประเทศอินเดียที่จะกลายเป็นฐานการผลิตของฮอนด้า มอเตอร์ นอกเหนือจากนี้ทั้งโตโยต้าและซูซูกิได้ประกาศเม็ดเงินลงทุนรวมกันสูงถึง 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 363,000 ล้านบาท เพื่อเร่งเพิ่มกำลังการผลิตและการส่งออก
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ เปิดเผยว่า ฮอนด้า มอเตอร์ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่ลึกมากกว่า สะท้อนจากผลประกอบการ ในการดำเนินธุรกิจที่ขาดทุนเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ในทางตรงกันข้ามผลประกอบการในการดำเนินธุรกิจรถจักรยานยนต์ฮอนด้า กลับสร้างผลประกอบการด้วยผลกำไรที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในภาพรวมนั้น ฮอนด้า มอเตอร์ ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขายยานยนต์ในปีงบประมาณปัจจุบัน จากเดิมที่ 3.62 ล้านคัน มาเหลือเพียง 3.34 ล้านคัน ได้จำนวนตัวเลขคาดการณ์ที่ลดลงดังกล่าวรวมถึง 110,000 คัน ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนไมโครชิพจากบริษัทเน็กซ์พีเรีย
ทั้งนี้ ฮอนด้า มอเตอร์ ได้ประกาศปรับ ลดตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการด้านกำไรจากการดำเนินธุรกิจใน 1 ปีเต็ม โดยลดลง 1 ใน 5 หรือ 20% เนื่องจากต้นทุนในการลงทุนผลิตรถอีวี และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขาดแคลนไมโครชิพจากบริษัทเน็กซ์พีเรีย ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไมโครชิพสำหรับรถยนต์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่าสูงถึง 385,000 ล้านเยน 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 85,800 ล้านบาท ซึ่งลดต่ำลงจากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 450,000 ล้านเยน หรือกว่า 94,500 ล้านบาท