เครดิตบูโรชี้ยอดปรับโครงสร้างหนี้เมษายนเดือนเดียวกว่า 90,000 ล้านบาท นับเฉียด 130,000 บัญชี

เครดิตบูโรชี้ยอด ปรับโครงสร้างหนี้ เมษายนเดือนเดียวกว่า 90,000 ล้านบาท นับเฉียด 130,000 บัญชี

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร โพสต์ข้อความเกี่ยวสถานการณ์การปรับโครงสร้างหนี้ มีข้อความสำคัญดังนี้

25.06.2567: ข้อมูล​ว่าด้วยเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน​ ป้องกันอะไร​ ป้องกันจากการตกชั้นจากบัญชีสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษหรือ​ SM​ หรือบัญชีหนี้ที่กำลังจะเสียกลายไปเป็นหนี้เสียหรือ​ NPLs​นั่นเอง

ในอดีตตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของ​ covid-19 หรือในระหว่างเกิด​วิกฤติ​ covid-19​ ในกรณีที่​บัญชีสินเชื่อใดก็ตามเริ่มออกอาการค้างชำระ​ อาจจะเป็น​ 1, 2, หรือ​ 3 งวด​ หากแต่ยังไม่เกิน​ 90 วัน​ มีการเลี้ยงงวดการชำระหนี้แบบไปๆ มาๆ​ กลับมาเป็นหนี้ปกติก็ไม่ได้​ แต่ก็ไม่กลายไปเป็นหนี้เสียให้รู้แล้ว​รู้รอด​ การที่ลูกหนี้ร้องขอผ่อนผันและเจ้าหนี้ก็ยอม​ ตกลงกันทำสิ่งที่เรียกว่า​ การปรับโครงสร้างหนี้หรือ​ DR. หรือ​ Debt restructure จะเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของการตกชั้น

ในเดือนเมษายน​ 2567 ตามกติกาใหม่​ โปร่งใสมากขึ้น​ จากข้อมู​ลสถิติที่ไม่มีตัวตนพบว่า มีการทำ​ DR. เกือบ​ 9 หมื่นล้านบาท​ 1.29 แสนบัญชีสินเชื่อ Ploan: Personal Loan ทำ​ DR.​ 3.8 หมื่นล้านบาท จำนวน​ 5.7 หมื่นบัญชี สินเชื่อบ้าน​ ทำ​ DR.​ 2.9 หมื่นล้านบาท​ จำนวนเกือบ​ 2 หมื่นบัญชี​ สถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือสถาบันการเงิน​ของรัฐทำ​ DR.​ 6.5 หมื่นล้านบาทจากทั้งหมด​เกือบ​ 9 หมื่น​ล้าน​บาท​ มีจำนวนบัญชีสูงถึง​ 6.9 หมื่นบัญชี​

5. ข้อมูล​ในตารางถือเป็นหมุดหมายสำคัญในเรื่องความได้ผลสำเร็จ​ของการเร่งปรับโครงสร้าง​หนี้​ก่อนไหลเป็นหนี้เสีย​ ยอดสะสมในเดือนต่อๆ ไปตั้งแต่ความจริงปรากฎจะบอกได้ว่า​ มาตรการ​ 2ต้อง​ 1ไม่​ ที่กำหนดมาว่า​ เจ้าหนี้เมื่อปล่อย​กู้ไปแล้วต่อมาลูกหนี้ไม่ไหว​ เริ่มค้าง​ ต้องยื่นข้อเสนอทำ​ DR.​ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง​ และถ้าไหลไปเป็นหนี้เสียจริง​ ต้องให้โอกาสลูกหนี้ทำ​ TDR.​ อีกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง​ รวมทั้งต้องไม่ขายหนี้บัญชี​ดังกล่าวออกไปให้กับ​ AMC.อย่างน้อย​ 60 วัน​ มาตรการนี้ไม่ใช่ขอความร่วมมือแบบในอดีต​ แต่เป็นมาตรการบังคับตามกฎหมาย​

6. การทำ​ DR.แบบยื่นข้อเสนอแบบเจ้าหนี้ต้องเสนอลูกหนี้​ มันมาพร้อมกับความเข้มของมาตรฐานการบัญชีที่ระบุว่า​ ในกรณีที่​มีข้อบ่งชี้อย่างมีนัยสำคัญที่เรียกว่า​ SICR.เกิดขึ้นเช่น​ บัญชีสินเชื่อนั้นๆ ค้างเกิน​ 31 วัน​ จะต้องถือว่าบัญชีนั้นเป็น​ SM.​ พอเป็นแล้วจะกลับมาเป็นปกติได้ก็ต้องทำ​ DR. พอได้ทำสัญญาหรือข้อตกลงแล้ว​ ตัวลูกหนี้ก็ต้องหาเงินมาชำระหนี้ตามเงื่อนไข​ DR.​ ติดต่อกันไปอย่างน้อย​ 3 งวด​ สถานะจึงจะกลับมาเป็นบัญชีปกติได้​

กติกาที่เปิดเผยข้อมูล​ครบถ้วน​ ทันสมัยมากขึ้น​ การเข้มมาตรฐานทางบัญชีมากขึ้น​ การเข้มข้นการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบ​ การระบุการประเมิน​ พิสูจน์​ทราบความมีศักย​ภาพ​ในการหารายได้มาชำระหนี้ตามตารางที่กำหนดขึ้น​ ในเวลานี้​ ในปีพ.ศ. นี้​ ท่านผู้อ่านคิดว่า​ อัตราการเติบโตของสินเชื่อ​ อัตราการอนุมัติสินเชื่อ​ ความเข้มข้น​ ยืดหยุ่น​ ความเจือจาง​ในนโยบายสินเชื่อจะไปในทิศทางไหน​

สุดท้าย​ ความตั้งใจของเราที่ต้องการให้หนี้ครัวเรือน​ไทยมาอยู่ในระดับ​ 80% ของ​ GDP จะเป็นไปได้ในเร็ววันมั้ย​ ถ้าตัวเศษคือ หนี้ครัวเรือน​มันวิ่ง​ด้วยอัตราการโต 3-4% ขณะที่ตัวส่วนคือ​ GDP. มันวิ่งด้วยความเร็วในการโต​ 2-3%

เรากำลังกดตัวไหนให้วิ่งช้า​ เรากำลังปั๊มตัวไหนให้วิ่งเร็ว​ หากแต่ว่าถ้าเราๆ ท่านๆ ถูกวัดด้วยมาตรฐาน​การประเมินศักยภาพ​ ความสามารถ​ในการหารายได้​ ความสามารถ​ในการชำระหนี้​ ตัวเราๆ ท่านๆ ถ้าไปยื่นขอกู้เวลานี้​ กติกาตอนนี้​ ท่านคิดว่าท่านจะได้คำตอบแบบไหน​

ความรู้สึกของหลายท่านที่ได้พบปะพูดคุยด้วยมันบอกว่า​ เราอยู่ในคลื่นลมและพายุทางการเงินระดับเดียวกันครับ​ แต่เราอาจอยู่เรือคนละลำ​ เรือแจว​ เรือจ้าง​ เรือหางยาว​ เรือโป๊ะ​ เรือหาปลา​ เรือรบ​ เรือบรรทุกสินค้า​ เรือบรรทุกเครื่องบิน​ เรือสำราญ​ เรือยอร์ช​ มันจึงมีอัตรารอดที่แตกต่างกัน​

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles