นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า เงินบาท แข็งค่าขึ้นเร็ว ตามดัชนีเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ราคาทองคำที่สูงขึ้นเร็ว และความกังวลเกี่ยวกับการเมืองไทยที่เริ่มคลี่คลาย โดยพบว่าปัจจัยต่างประเทศส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทมากกว่าปัจจัยการเมืองในประเทศช่วงนี้ ซึ่งอาจเพราะตลาด Price-in ความไม่แน่นอนทางการเมืองไว้บ้างแล้ว ในระยะต่อไปมองว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าได้ในช่วงสั้น ก่อนที่จะกลับสู่เทรนด์แข็งค่าตาม Easing cycle สหรัฐฯ
โดยประเมินกรอบเงินบาท อาจอ่อนค่าขึ้นเล็กน้อยที่ราว 33.90-34.40 บาท/ดอลลาร์ ในช่วง 1 เดือนจากนี้ เนื่องจาก1. ตลาดอาจ Price-out Fed rate cuts ออกไปบ้าง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะไม่ชะลอลงรุนแรงจนถึงต้องลดดอกเบี้ย 100 bps ในช่วงที่เหลือของปี ิ2. การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ใกล้เข้ามา และความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้า อาจทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้ โดยมองว่าเงินบาทที่ราว 33.60-33.95 บาท/ดอลลาร์ เป็นระดับที่ผู้นำเข้าอาจซื้อ USDTHB ได้ โดยหากเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ที่จะออกมาวันศุกร์นี้ ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด อาจเป็นจังหวะให้เงินดอลลาร์อ่อน และบาทแข็งค่าต่อ สำหรับผู้ส่งออกที่รอจังหวะขาย USDTHB มองว่ากรอบ 34.10-34.50 บาท/ดอลลาร์ เป็นระดับที่ผู้ส่งออกอาจขายได้ โดยอาจรอจังหวะที่ราคาทองคำปรับลดลงมา หรือราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ซึ่งอาจกดดันให้บาทอ่อนค่าได้
สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ย มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดดอกเบี้ย 1 ครั้งปลายปีนี้ สอดคล้องกับมุมมองในตลาดเงิน เนื่องจากภาวะการเงินไทยที่ตึงตัวขึ้น น่าจะส่งผลต่ออุปสงค์ในประเทศมากขึ้น และทำให้กลุ่มเปราะบางอาจเผชิญปัญหาสภาพคล่อง ส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อได้ ดังนั้น การปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และแบ่งเบาภาระดอกเบี้ยลง โดยขณะนี้ พบว่าการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ของธุรกิจบางกลุ่มเริ่มทำได้ยากขึ้น โดยพบว่าธุรกิจอสังหาฯ และกลุ่มการเงิน ที่มี Rating ไม่สูง (BBB+ หรือต่ำกว่า) บางราย ไม่สามารถขายหุ้นกู้ได้ครบตาม Target issue size เนื่องจากนักลงทุนกังวลความเสี่ยงด้านเครดิต
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี อาจลดลงเล็กน้อยตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ กนง. ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อาจลดลง เพราะมาตรการภาครัฐมีโอกาสออกมาได้น้อยลง หลังการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี และ US Treasury yields ที่อาจอยู่ในระดับต่ำ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวแต่ไม่เกิดเป็นวิกฤต
ด้านนายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ตลาดการเงินโลกในเดือนที่ผ่านมาผันผวนรุนแรง โดยเป็นผลจากเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผันผวน ทำให้ตลาดปรับมุมมองการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) โดยอัตราว่างงานสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นจาก 4.1% เป็น 4.3% ซึ่งแย่กว่าที่ตลาดคาดมาก ทำให้ตลาดกังวลว่าสหรัฐฯ อาจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ Fed อาจต้องลดดอกเบี้ยถึง 125 bps ภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) ลดลงถึง 20-30 bps ภายใน 1 วัน
มุมมองดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ลดลง และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อเดือนกรกฎาคม ทำให้เกิดการ Unwind carry trade ของสกุลเงินเยน โดยเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นเร็วเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. พร้อมกับตลาดหุ้นทั่วโลก และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงแรง เกิดการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ (Assets rotation) โดยนักลงทุนโยกสินทรัพย์ออกจากสินทรัพย์เสี่ยง (หุ้น) ไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (พันธบัตรรัฐบาล) ซึ่งพบว่าการ Unwind carry trade เกิดขึ้นไปแล้วราว 60-70% ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเร็ว ทัง้นี้ในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ย และ BOJ อาจขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้เงินเยนแข็งค่าได้ ขณะที่ เงินหยวน พบว่า ที่ผ่านมาจีนเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาก แต่ภาคธุรกิจนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ และยังไม่โยกเงินกลับมาจีนนัก ซึ่งหากในระยะต่อไปที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าเร็ว อาจเกิดการโยกเงินกลับมาจีนเป็นจำนวนมาก และกดดันให้เงินหยวนแข็งค่าเร็วได้