เงินเฟ้อไทยขาลงยาว 6 เดือนติดกัน กันยายน 2568 ติดลบต่ออีกที่ -0.72% คาดทั้งปี 2568 ลดคาดการณ์เงินเฟ้อมาติดลบที่ -0.1% ผลพวงราคาพลังงานยันเกษตรตกต่ำ

เงินเฟ้อ ไทยขาลงยาว 6 เดือนติดกัน กันยายน 2568 ติดลบต่ออีกที่ -0.72% คาดทั้งปี 2568 ลดคาดการณ์เงินเฟ้อมาติดลบที่ -0.1% ผลพวงราคาพลังงานยันเกษตรตกต่ำ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน ก.ย. 2568 ยังติดลบเป็นเดือนที่ 6 ต่อเนื่องที่ -0.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา เนื่องจากยังถูกกดดันจากปัจจัยทางฝั่งอุปทานเป็นสำคัญ โดยอัตราค่าไฟฟ้าปรับลดลงมาอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย (-5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ) และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศต่ำกว่าปีก่อนหน้า อาทิ ราคาน้ำมันดีเซล (-3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ) ราคาแก๊สโซฮอล์ 95 E10 (-7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ) ส่งผลให้ราคาพลังงานมีส่วนทำให้เงินเฟ้อลดลง (contribution to inflation) -1.15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา 

ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรลดลงจากปัจจัยฐานที่สูงในปีก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักผลไม้ที่ปรับลดลงถึง -10.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อมาอยู่ที่ -0.1% จาก 0.1% ในปี 2568 โดยในช่วง 9 เดือนแรกเงินเฟ้อติดลบอยู่ที่ -0.01% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ขณะที่ในไตรมาส 4 คาดว่าจะติดลบเล็กน้อย จากเดิมที่คาดว่าเงินเฟ้อจะขยายตัวเป็นบวกที่ 0.2% เนื่องจาก 

1) แนวโน้มราคาพลังงานในประเทศปรับลดลง ตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับลดลง โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 4 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ราว 63 ดอลลาร์ฯ ต่อลิตร หรือต่ำกว่าปีก่อนหน้าราว 15% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รัฐบาลมีมาตรการลดค่าครองชีพครัวเรือนโดยปรับราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินลง 50 สตางค์ต่อลิตรตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. 2568 

2) แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรคาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนหน้า โดยไตรมาสที่ 4 เป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวออกมามาก แต่ราคาคาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนหน้าเนื่องจากผลผลิตในประเทศที่ออกมามากเกินความต้องการ ประกอบกับการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้นโดยการส่งออกข้าวไปต่างประเทศก็มีข้อจำกัดมากขึ้นเนื่องจากอินเดียผู้ส่งออกข้าวหลักในตลาดโลกมีนโยบายเพิ่มปริมาณการส่งออก ส่งผลให้ดัชนีราคาข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ในไตรมาส 4/2568 คาดว่าจะปรับลดลงกว่า -1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ราคาผักผลไม้สดมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้าที่ราว -5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากปริมาณผลผลิตที่สูงขึ้น ประกอบกับการนำเข้าผักและผลไม้สดราคาถูกจากจีนและเวียดนาม

3) กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแรงลง ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันสะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐ (Quick Big Win) อาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้บ้างในช่วงที่เหลือของปี แต่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไม่มาก 

ความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดมีมากขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือน ก.ย. 68 ยังเป็นบวกที่ 0.65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา แต่ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า -0.05% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่รายการสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อพื้นฐานที่ติดลบในเดือนก.ย.68 ได้แก่ ของใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ของแต่งบ้าน เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน ทั้งนี้ โดยรวมรายการสินค้าที่ราคาติดลบในเดือนก.ย. 68 คิดเป็น 40.5% ของตะกร้าเงินเฟ้อทั้งหมด

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles