ศูนย์วิจัย SCB EIC ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคที่จะได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยผู้มีสิทธิในโครงการฯ จะมีอยู่ราว 50 ล้านคน ซึ่งเป็นคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 70,000 บาท ซึ่งจะได้รับเงิน 10,000 บาทผ่านแอปพลิเคชันที่รัฐบาลอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งสามารถนำไปซื้อสินค้าได้ทุกประเภท (ยกเว้นอบายมุข บริการ น้ำมันเชื้อเพลิง และสินค้าออนไลน์) จากร้านค้าปลีกขนาดเล็กภายในอำเภอ (รวมร้านสะดวกซื้อ Standalone และในปั๊มน้ำมัน) ซึ่งการใช้จ่ายจะเริ่มในไตรมาส 4 ปี 2567
ผลสำรวจมีรายละเอียด ดังนี้ เม็ดเงินโดยส่วนใหญ่จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะหมุนเข้าระบบภายใน 6 เดือน แม้ว่าก่อนหน้านี้ ภาครัฐจะกำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายมากกว่า 6 เดือนก็ตาม โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 58% จะทยอยใช้เงินโครงการ 10,000 บาทครบภายใน 6 เดือน อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ได้แก่ รายได้น้อยกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน หรือกลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะทยอยใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทไปจนถึงวันสิ้นสุดโครงการในเดือน เม.ย. 2570 (ตามเงื่อนไขการใช้จ่ายที่ทางการประกาศเมื่อเดือน พ.ย. 2566) ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2567 ยังไม่ได้ระบุระยะเวลาในการใช้จ่ายเงินของโครงการ ซึ่งหากภาครัฐต้องการให้เงินหมุนเวียนเร็วอย่างเต็มประสิทธิภาพ อาจต้องกำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายให้สั้น เช่น ไม่เกิน 6 เดือน เพื่อกระตุ้นให้ผู้มีสิทธิใช้จ่ายในระยะเวลาที่กำหนด โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ
ผู้ตอบแบบสอบถาม กว่า 80% ระบุว่าจะลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัวของตัวเองลง หากได้รับเงิน 10,000 บาทจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาใช้จ่าย ผู้มีสิทธิฯ ที่ลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัว บางส่วนนำเงินที่ลดลงดังกล่าวกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการให้ญาติใช้จ่าย/นำไปลงทุนธุรกิจต่อ ทั้งนี้ หากรวมเงินที่เข้าสู่ระบบฯ ข้างต้น จะพบว่า ราว 30% ของผู้มีสิทธิฯ ทั้งกลุ่มรายได้มาก (เงินเดือน 4-7 หมื่นบาท)-ปานกลาง (1.5-4 หมื่นบาท)-น้อย (< 1.5 หมื่นบาท) มีการใช้จ่ายเงินส่วนเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 10,000 บาทต่อราย
นอกจากนี้ ผู้มีสิทธิฯ โดยส่วนใหญ่จะลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัวลง และนำเงินที่ลดลงดังกล่าวไปเก็บออม/ชำระคืนเงินกู้ (คิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของผู้มีสิทธิที่ลดการใช้จ่ายเงินส่วนตัว) ซึ่งช่วยลดภาระหนี้ของผู้มีสิทธิฯ หรือทำให้ผู้มีสิทธิฯ มีเงินออมเพื่อใช้จ่ายในยามจำเป็นมากขึ้น
สินค้าของชำเบ็ดเตล็ดทั่วไป หรือ Grocery เป็นสินค้าหลักที่จะได้ประโยชน์จากโครงการฯ โดยผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้จ่ายเงินโครงการในสินค้า Grocery เกือบ 40% ของประเภทสินค้าที่เลือกซื้อทั้งหมด ขณะที่สินค้าหมวดสุขภาพและร้านอาหารเป็นสินค้ารองลงมาที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากโครงการฯ ยกเว้นในกลุ่มผู้มีสิทธิที่เป็น Gen Z มีแนวโน้มนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ มีแนวโน้มนำเงินบางส่วนจากโครงการไปซื้อสินค้าเพื่อแต่ง/ซ่อมบ้านเพิ่มเติมด้วย
กลุ่มสินค้าคงทน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของแต่งบ้าน และมือถือ คาดว่าได้รับอานิสงส์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตบ้าง จากกลุ่มผู้มีสิทธิฯ ราว 10-17% ที่เลือกใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนติด Top 3 โดยกลุ่มผู้มีสิทธิฯ เหล่านั้นเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทในครั้งเดียว หรือเป็นกลุ่มที่ไม่ลดการใช้จ่าย/เพิ่มการใช้จ่ายเงินส่วนตัว ซึ่งค่อนข้างกระจุกอยู่ในผู้มีสิทธิฯ กลุ่ม Gen Y และ Z รวมถึงผู้มีรายได้มากกว่า 1.5 หมื่นบาท
ร้านค้าท้องถิ่นและร้านสะดวกซื้อจะเป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่ได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้จ่ายเงินโครงการในร้านค้าท้องถิ่นราว 40% และร้านสะดวกซื้อ เช่น CJ และ 7-11 ราว 26% ของประเภทร้านค้าที่เลือกใช้จ่ายทั้งหมด ขณะที่กลุ่มร้านอาหารและร้านขายยาเป็นกลุ่มรองที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการฯ ด้วย นอกจากนี้ ร้านอุปกรณ์ยานยนต์และร้านอุปกรณ์การเกษตร คาดว่าจะได้อานิสงส์อยู่บ้าง โดยผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้จ่ายในร้านค้าเหล่านี้เป็นอันดับที่ 5 โดยผู้มีสิทธิฯ ที่รายได้สูงหรืออยู่ในกรุงเทพฯ/หัวเมืองใหญ่จะนำไปใช้จ่ายในร้านอุปกรณ์ยานยนต์ ขณะที่ผู้มีสิทธิฯ อยู่ต่างจังหวัด/รายได้น้อยจะเลือกใช้จ่ายในร้านอุปกรณ์การเกษตร
อย่างไรก็ดี ในส่วนของร้านค้าส่ง/ค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น แม้จะไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายของผู้มีสิทธิในโครงการฯ แต่คาดว่าจะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากร้านค้าท้องถิ่นขนาดเล็กที่ต้องนำเงินรายได้จากการขายสินค้าให้ผู้มีสิทธิฯ มาใช้จ่ายต่อไปยังร้านค้าอื่นๆ เช่น การซื้อสินค้าเพื่อสต็อกสินค้าในร้านค้า เป็นต้น
การกำหนดพื้นที่ใช้จ่ายเงินโครงการฯ ในร้านค้าตามที่อยู่ทะเบียนบ้านของผู้มีสิทธิฯ อาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่ายเงินโครงการฯ ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสำรวจที่คาดว่ามีสิทธิในโครงการ มองว่า การกำหนดพื้นที่ใช้จ่ายเงินโครงการฯ เป็นข้อจำกัดต่อการใช้จ่ายเงินของโครงการฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงาน/อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จังหวัดหัวเมืองใหญ่ รวมถึงกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการ ซึ่งราว 70% ของกลุ่มเหล่านั้น มองว่าการกำหนดพื้นที่ใช้จ่ายเป็นอุปสรรค โดยปัญหาหลักของการใช้จ่าย มาจากการไม่มีร้านค้าที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการในพื้นที่ที่กำหนด