นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในโอกาสการทำงานครบ 6 เดือน ของ รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐบาลได้ประเมินการทำงานที่ผ่านมา พบว่ามีความสำเร็จเห็นเป็นดอกผล จากการทำงานอย่างหนัก วางแผนกำหนดนโยบายด้วยทีมงานที่เข้าใจการทำงาน และเข้าใจชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง จึงเชื่อมั่นว่านโยบายเหล่านี้ จะประสบผลสำเร็จ ทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นอย่างแท้จริง
โดยนายกรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายในการวางรากฐานอนาคตให้กับคนไทยกรอบระยะสั้นกระตุ้นการใช้จ่ายลดหนี้เกษตรกรเพิ่มราคาสินค้าเกษตรเพื่อเกษตรกรควบคุมสินค้าเถื่อนที่ลักลอบเข้าประเทศไทยเพื่อจุดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตรวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว
ส่วนระยะกลาง และระยะยาว คือ เสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนทุกคน โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องว่า ส่วนไหนทำได้ก็จะดำเนินการส่วนนั้น ก่อนเพื่อแบ่งเบาภาระ เพิ่มประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 1 ในนโยบายเร่งด่วน คือ การแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน ซึ่งกว่า 2 เดือนที่รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหา โดยตั้งแต่เปิดรับลงทะเบียน “หนี้นอกระบบ” เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 66 มียอดผู้ลงทะเบียนกว่า 140,000 ราย รวมยอดมูลหนี้กว่า 9,800 ล้านบาท ผลจากการเข้าไกล่เกลี่ย ทำให้มูลหนี้ลดลงกว่า 670 ล้านบาท ส่วนของ “หนี้ในระบบ” มีความคืบหน้าในทุกกลุ่มลูกหนี้ทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าปัญหาหนี้สินของประชาชนจะต้องจบภายในรัฐบาลนี้
ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เดินหน้าเต็มพิกัดทุกเครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าให้กับประชาชน อาทิ
1. ฟื้นระบบ สร้างบรรยากาศการลงทุน โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้เกิดการลงทุนในประเทศเชิงรุก ให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจยุคใหม่ผ่าน 5 นโยบายสำคัญ ได้แก่ 1) ส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Transformation) 2) พัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี (Technology Development) 3) พัฒนาและดึงดูดบุคลากรทักษะสูง (Talent Development & Attraction) 4) ส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ (Cluster-based Investment) และ 5) อำนวยความสะดวกด้านการลงทุน (Ease of Investment) ควบคู่กับการผลักดัน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ยอดตัวเลขทั้งโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนและเงินลงทุน เติบโตอย่างต่อเนื่อง จำนวนถึง 2,307 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 848,318 ล้านบาท
2. เร่งการเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ที่ไทยมี roadmap 26 ฉบับ มีแล้ว 15 ฉบับ (ล่าสุด FTA ไทย – ศรีลังกา) เร่งเจรจาเพิ่ม 11 ฉบับ
3. เพิ่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งเจรจาเพื่อยกระดับหนังสือเดินทางไทย (Passport) ให้สามารถเดินทางได้หลายประเทศ/ดินแดนมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า (Visa Free) ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว อาทิ คาซัคสถาน ไต้หวัน และอินเดีย รวมถึงวีซ่านักธุรกิจญี่ปุ่น 30 วัน และล่าสุดได้ยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย–จีน เป็นการถาวร โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 67 เป็นต้นไป สนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการยกระดับท่าอากาศยานทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพ ให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เต็มศักยภาพจนทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวสะสมประจำเดือนม.ค.67 เพิ่มเป็น 3,035,296 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี 2566 ถึง 42% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวชาวจีน เพิ่มเป็น 508,563 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าของปีที่แล้ว (เดือนม.ค.66 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน 91,841 คน) คาดว่าจะสร้างรายได้จากการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ย่างมาก ถือเป็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินการของรัฐบาลที่ผ่านมา
“นายกรัฐมนตรี ดำเนินการทำงานทุกด้านอย่างสอดประสาน ทั้งแก้ปัญหาในประเทศ ดึงปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศ เชื่อมั่นว่าทำงานมา 6 เดือน แก้ปัญหาให้ประชาชนทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนเห็นผลสำเร็จบ้างแล้ว โดยมุ่งมั่นจะทำให้ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น ซึ่งขณะเดียวกัน ก็พร้อมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสียงความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาให้ได้ทางออกที่ดีที่สุดกับพี่น้องประชาชน” นายชัย กล่าว