เนสท์เล่ (Nestle) ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่และชั้นนำในอุตสาหกรรม และธุรกิจสินค้าบริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงเป็นเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชื่อดังระดับโลกหลายอย่าง เช่น คิทแคท เนสกาแฟ แม็กกี้ เนสเพรสโซ่ เป็นต้น โดยนายฟิลลิป นาฟราทิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอ เปิดเผยว่า ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลง และเนสท์เล่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเร็วกว่า เนสท์เล่กำลังเร่งขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรที่ก่อให้เกิดวิธีคิดด้านผลการดำเนินงาน ซึ่งจะยอมรับการสูญเสียส่วนแต่งตลาด และที่ใดก็ตามที่มีชัยชนะ คือการให้รางวัลของเนสท์เล่
เนสท์เล่ ตั้งเป้าหมายสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจจึงทำให้ต้องมีการดำเนินนโยบายควบคุมและตัดลดค่าใช้จ่ายด้วยการเตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่ มีจำนวนรวมกันมากถึง 16,000 คนหรือคิดเป็นราวกว่า 5% จากจำนวนพนักงานทั้งหมด 277,000 คนทั่วโลก
สำหรับพนักงานที่เข้าข่ายในการถูกปลดออกเป็นจำนวนมากในครั้งนี้ประกอบไปด้วยพนักงานจำนวน 12,000 คนที่เป็นพนักงานประจำทำงานในสำนักงาน หรือออฟฟิศ และที่เหลืออีก 4,000 คนเป็นพนักงานที่อยู่ในไลน์การผลิต หรือสายการผลิตในโรงงานของเนสท์เล่
อย่างไรก็ตาม ในด้านผลการดำเนินงานของเนสท์เล่กลับพบว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 โดยเฉพาะยอดขายนั้น เนสท์เล่มีตัวเลขยอดขายสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ สาเหตุจากการปรับขึ้นราคาขายกาแฟ และขนมขบเคี้ยวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนของวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ดัชนีตัวชี้วัด การเติบโตยอดขายแท้จริง หรือ Real Internal Growth(RIG) ของเนสท์เล่ ออกมาเพิ่มขึ้น 1.5% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3%
นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังได้กำหนดเป้าหมายด้วยการปรับเพิ่มขึ้นการประหยัดค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนภายในปี 2027 ให้ได้ 3,000 ล้านฟรังสวิส หรือ 3,770 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 122,525 ล้านบาท จากเป้าหมายประหยัดรายจ่ายเดิมที่ 2,700 ล้านฟรังสวิส หรือกว่า 100,430 ล้านบาท