นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2-4 ของปี 2567 โดยเฉพาะสำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค เงินทุน/หลักทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธนาคาร และธุรกิจประกัน
ด้านรายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์ได้แนะนำตรงกัน 4 สำนักขึ้นไป ประกอบด้วย บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ได้อานิสงส์จากท่องเที่ยวฟื้นตัว โดย ธปท. คาดปีนี้มีนักท่องเที่ยว 34.5 ล้านคน +22.6% อีกทั้งยังมีมาตรการรัฐ ฟรีวีซ่า ซึ่ง AOT คาดผู้โดยสารในปีนี้ +20% เป็น 120 ล้านคนและไม่มีมาตรการให้ส่วนลดผู้ประกอบการ คาดรายได้ปีนี้ +39.6%
บมจ. ช.การช่าง หรือ CK ได้ประโยชน์จากการเร่งรัดงบเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐปี 2567 หนุนให้การประมูลโครงการรัฐหลังจากนี้มีมากขึ้น โดยงานปีนี้ที่รอประมูลได้แก่ รถไฟทางคู่ขอนแก่น–หนองคาย ทางด่วนจตุโชติ และ ทางด่วนกะทู้–ป่าตอง เป็นต้น นอกจากนี้ในด้านต้นทุนพบว่าดัชนีวัสดุก่อสร้างลดลงต่อเนื่อง
บมจ. ซีพี ออลล์ (CP ALL) ได้ประโยชน์หลักจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และบมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ได้ประโยชน์จากธุรกิจโรงแรมในไทยและในยุโรปเติบโตดี ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ธุรกิจอาหารฟื้นตัว สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นที่เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง/เพิ่มทุน
นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับงบประมาณ โดยกล่าวถึงมาตรการทั้งในระยะสั้นและยาว แยกเป็นการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของเก่าที่ยังค้าง เช่น EEC , Airport Link และท่าเรือน้ำลึก
ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชน การลดภาระหนี้ภาคครัวเรือน กระตุ้นการจ้างงานพร้อมกับพัฒนาแรงงานฝีมือและมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ (ช้อปช่วยชาติ) ที่กระจายช่วงเวลาใช้ ไม่กระจุกในช่วงเวลาสั้นจนเกินไป และตามมาด้วย นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว ดึงความน่าสนใจท่องเที่ยวเมืองรอง และขยายเมือง สนับสนุนการลงทุนโดยตรง ( FDI) อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพิ่มขีดจำกัดด้านการผลิต รวมถึงการย้ายฐานผลิตเข้ามาไทย