ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โพสต์บทความเกี่ยวกับประเทศเวียดนามเดินหน้า “Doi Moi 2.0” ปฏิรูปครั้งใหญ่สุดในรอบ 40 ปี มีดังนี้
เวียดนามประกาศเดินหน้า “Doi Moi 2.0” เป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุดนับจากปี 1986 ที่เปิดประเทศจากสังคมนิยมสู่ระบบตลาด มุ่ง “ทรานสฟอร์มประเทศ“แผนดังกล่าวมี 4 เสาหลัก ได้แก่ 1.รัฐและระบบราชการทำให้ “Lean–Digital–Fast” ลดกฎระเบียบ 30% ควบรวมกระทรวง เหลือ 34 จังหวัด ใช้ e-Government และ Digital ID 2.หนุนเอกชนในประเทศไม่พึ่ง FDI อย่างเดียว ตั้งเป้ามี 20 “แชมป์ชาติ” เข้าห่วงโซ่มูลค่าโลก ยกเลิกภาษีธุรกิจเล็ก ลดค่าเช่าที่ดิน 30% 3.ทุนมนุษย์และการศึกษา : ยกระดับครูให้มีค่าตอบแทนสูงสุดในระบบราชการ ประกาศเรียนฟรีถึงมัธยม เร่งพัฒนาทักษะแรงงาน และ 4.วิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี-ดิจิทัล ตั้งศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ ผลักดัน Digital ID ครอบคลุมทุกบริการ ตั้งกองทุนสนับสนุน deep-tech และผ่อนคลายกฎแรงงานต่างชาติ
เรามักพูดถึงเวียดนามในฐานะ “คู่แข่งที่เก่งและวิ่งเร็ว” แต่เวียดนามไม่ได้มองตัวเองว่า “เก่งแล้ว” ตรงกันข้ามเขากำลังมองตัวเองเป็น “ผู้ท้าชิง” ที่ยอมเสี่ยงเพื่อก้าวกระโดดและกำลังใช้ “วิกฤต” เป็น “โอกาส”
โด่ยเหม๊ย 2.0: การปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสี่ทศวรรษ นับจาก “โด่ยเหม๊ย” ปี 1986 ที่เปิดประเทศจากสังคมนิยมปิดสู่เศรษฐกิจตลาด เวียดนามเพิ่งประกาศ “Doi Moi 2.0” รายงานสรุปการปฏิรูปของเวียดนามไว้ในคำที่คมและชัดเจนว่า Transform to Reform, Optimise to Mobilise ซึ่งหมายความว่า เริ่มจากกระดุมเม็ดแรกคือ การปรับมายด์เซ็ตของผู้นำสร้าง ฉันทามติใหม่เรื่องการเพิ่มบทบาทเอกชนในประเทศในเศรษฐกิจ และการ “ลดไขมัน” ที่ถ่วงความเร็ว เพื่อจัดระบบให้ขับเคลื่อนได้จริง ด้วยการสร้าง 4 เสาแห่งการปฏิรูป
1. เสารัฐและระบบราชการ (State & Governance) เป้าหมาย : ทำให้รัฐ “lean – digital – fast” ลดขนาดและความซับซ้อน เพื่อเป็นรัฐที่เอื้อต่อการแข่งขันระดับโลก สิ่งที่จะทำ คือ ลดกฎระเบียบ 30%, เปลี่ยนจาก “อนุญาตก่อนทำ” → “กำกับหลังทำ”, ควบรวมกระทรวง, ลดชั้นการปกครองเหลือ 2 สิ่งที่ทำแล้ว คือเริ่มควบรวมกระทรวงหลัก ลดคน รวมจังหวัดจาก 63 เหลือ 34 จังหวัด เริ่มต้นใช้ one-stop e-government และ Digital ID
2. เสาเศรษฐกิจและเอกชน เป้าหมาย คือสร้างเศรษฐกิจที่เอกชนท้องถิ่นแข็งแรง ไม่พึ่ง FDI อย่างเดียว และมี “20 แชมป์ชาติ” เชื่อมกับห่วงโซ่โลก สิ่งที่จะทำ คือสร้างสิทธิประโยชน์ดึง SMEs เข้าสู่ระบบ ออกมาตรการลดภาษี/ค่าเช่าที่ดิน สนับสนุนสตาร์ทอัพและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งที่ทำแล้ว คือยกเลิกภาษีธุรกิจขนาดเล็ก, ให้ SMEs ได้ tax holiday 3 ปี, ลดค่าเช่าที่ดิน 30%, เร่งเบิกจ่ายเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน (>10% GDP) โดยให้บริษัทเวียดนามเข้าประมูลนำ
3. เสาทุนมนุษย์และการศึกษา เป้าหมาย คือพัฒนาคนเป็น “ทุนแข่งใหม่” ทั้งครูที่มีศักดิ์ศรีสูงสุดและแรงงานที่มีทักษะสูงเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจโลก สิ่งที่จะทำ คือเพิ่มค่าตอบแทนครู, ประกาศเรียนฟรีในระบบรัฐ, เปิดทางให้ผู้เชี่ยวชาญนอกภาครัฐเข้ามาทำงาน, ยกระดับระบบมหาวิทยาลัย–วิจัย สิ่งที่ทำแล้ว คือขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 30%, ผ่านกฎหมายครูให้เป็นสายอาชีพที่ค่าตอบแทนสูงสุด, ประกาศเรียนฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยม, เริ่มปรับเกณฑ์การรับแรงงานทักษะสูง
4. เสาวิทยาศาสตร์–เทคโนโลยี–การเปิดประเทศ เป้าหมาย คือยกระดับเวียดนามให้เป็นเศรษฐกิจดิจิทัล–นวัตกรรม และเปิดกว้างต่อโลกเพื่อดึงทักษะและทุนคุณภาพ สิ่งที่จะทำ คือตั้ง National Data Center, ขยายระบบ Digital ID ครอบคลุมทุกบริการ, สร้างกองทุนสนับสนุน deep-tech, ผ่อนคลายกฎแรงงานต่างชาติ สิ่งที่ทำแล้ว คือเริ่มใช้ Digital ID กับบริการรัฐ-ธุรกิจ, ตั้งพอร์ทัลบริการ one-stop, ประกาศ timeline ออก work permit สำหรับแรงงานต่างชาติภายใน 10 วัน, เปิดกองทุนสนับสนุนโครงการเทคโนโลยี
จุดเด่นของแผนนี้มีอย่างน้อย 4 ข้อ
1.ปัญหาที่ชัดเจน เป้าหมายที่ชัดเจน เวียดนามชี้ชัด “ปัญหาปัจจุบันและโจทย์แห่งอนาคต” เอกชนท้องถิ่นยังอ่อนแรงเมื่อเทียบกับบริษัทต่างชาติ ระบบราชการซับซ้อน ต้นทุนธุรกิจสูง ธุรกิจนอกระบบมีสัดส่วนใหญ่และผลิตภาพต่ำและในอนาคต
โลกาภิวัตน์จะยากขึ้น การแข่งขันโลกจะเข้มขึ้นการใช้การดึง FDI เป็นฐานผลิตให้ต่างชาติอย่างเดิมจะไปต่อยาก เอกชนจึงต้องแกร่งขึ้น คนต้องเก่งขึ้น Science-Tech-digital ต้องไประดับโลก รัฐต้องไม่ถ่วงและเล่นบทซัพพอร์ตได้ดีขึ้น นำไปสู่เป้าหมายใน 4 เสาที่ชัดเจน
2.ตัววัดชัดเจน จับต้องได้ ประเมินได้ เช่น ภายใน 2030 ได้แก่ มี 2 ล้านกิจการเอกชน คิดเป็น 55–58% ของ GDP (จาก 50% วันนี้) ต้องมี 20 บริษัทใหญ่เข้าร่วมในห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก (GVCs) ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.5–9.5% ต่อปี ต้องติด Top 3 ASEAN / Top 5 Asia ในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และความสามารถในการปรับตัว ลดเวลา ต้นทุน และความยุ่งยากทางราชการลง 30% และภายใน 2045 ต้องติด Top 30 ของโลกด้านนวัตกรรม และมี Digital economy >50% ของ GDP
ฯลฯ
3.ไม่เป็นทุกอย่างเพื่อเธอ แต่ทำสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่ออนาคต แผนนี้ไม่ได้พยายามเป็น “ทุกอย่างสำหรับทุกคน” เพราะแผนแบบนั้นมักจะไม่เป็นอะไรเลยให้ใครสักคน เวียดนามเลือกโฟกัสไม่กี่เรื่องที่เป็นจุดตัดสำคัญของอนาคต—กฎระเบียบ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่อกับโลก—แล้วทำให้เกิดผลลัพธ์จริง
4.เชื่อม Vision ใหญ่กับทำจริง, ระยะยาวกับ Quick Win แผนนี้ไม่ได้เป็นเพียงวิสัยทัศน์ระยะยาวที่จับต้องไม่ได้ และก็ไม่ใช่ quick win ฉาบฉวย แต่เป็นการผูกสองสิ่งเข้าด้วยกัน
สุดท้ายนี้ คงไม่มีใครตอบได้แน่ว่าเวียดนามจะทำได้สำเร็จทั้งหมดหรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เวียดนามกำลังสร้าง “ความเชื่อมั่น” ว่าประเทศนี้มีทิศทางชัด และพร้อมเดินหน้า เลยอยากชวน “มองเขา” ในมุม “คู่แข่ง”ในหลาย ๆ ด้านที่เราต้องรู้เท่าทัน
ในมุมพาร์ทเนอร์ เพื่อนบ้าน และตลาดแห่งโอกาสที่สำคัญ ที่สามารถร่วมมือกัน และที่สำคัญกลับมา “มองเรา” ไม่ใช่ในมุมว่าเราสู้เขาได้ หรือไม่ได้ หรือใครดีกว่าใคร แต่เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้าง จาก mindset ของผู้ท้าชิงและแผนก้าวสู่อนาคตที่เราเองก็อาจควรต้องมีเช่นกัน