เบอร์เบอรี (Burberry) แบรนด์เครื่องหนังเสื้อผ้าหรูหราระดับโลกจากประเทศอังกฤษเปิดเผยว่า มีความจำเป็นจะต้องตัดลดและควบคุมค่าใช้จ่ายด้วยการปรักคประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่จำนวน 1,700 คนทั่วโลก หรือคิดเป็น 20% ของจำนวนพนักงานที่มีอยู่ในปัจจุบันทั่วโลก ที่สำคัญ นับเป็นการปลดพนักงานครั้งมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา สำหรับสาเหตุในการตัดลดค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ให้เหตุผลว่าเป็นผลมาจากภาวะความขัดแย้งในปัญหาของแต่ละภูมิภาคทั่วโลก ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนสูงในสถานการณ์เศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งทำให้แบรนด์เบอร์เบอรี่ไม่สามารถแข่งขันกับแบรนด์คู่แข่งที่อยู่ในระดับหรูหราในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ เนื่องจากนโยบายการปรับขึ้นราคาสินค้ามากเกินไป การชะลอตัวของตลาดสินค่าแบรนด์เนมหรูหรา เมื่อซีอีโอคนใหม่เข้ารับตําแหน่งเมื่อปีที่แล้ว ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และการตลาดเพื่อมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเสื้อโค้ท และผ้าพันคอที่เป็นสัญลักษณ์มากขึ้น หลังจากแบรนด์ดังกล่าวดำเนินกลยุทธ์ที่ผิดพลาดของผลิตภัณฑ์ในช่วงผ่านมา
นายโจชัว สชูลแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นซีอีโอของแบรนด์ที่มีชื่อว่าจิมมี่ ชู (Jimmy Choo) ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าระดับหรูหราของโลกอีกแบรนด์หนึ่ง เปิดเผยว่า แบรนด์ได้มีพัฒนาการและได้รับการปรับปรุงเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามในการแก้ไขสถานการณ์ของธุรกิจแบรนด์ Burberry พบว่าความต้องการซื้อสินค้าชะลอตัวลงมากท่ามกลางการผลิตสินค้าที่มากเกินความต้องการ ดังนั้น การปลดพนักงานครั้งใหญ่ในรอบนี้ จะทำให้พนักงานที่ประจำอยู่ตามสำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขา รวมไปถึงพนักงานที่อยู่ในสายการผลิตที่เมืองคาสเซิลฟอร์ด ประเทศอังกฤษ จะต้องถูกปลดออก
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอคนที่ 4 ของเบอร์เบอรี่ในรอบ 10 ปีผ่านมา เปิดเผยต่อไปว่า ด้านผลประกอบการของบริษัทเบอร์เบอรี่ ปรากฏว่า ยอดขายภาพรวมทั่วโลกในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023 พบว่าลดลงถึง -6% โดยยอดขายล้วนชะลอตัวลงในทุกตลาดทั่วโลก ได้แก่ อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา ซึ่งมียอดขายทรุดลงมากถึง -4% ในเอเชียแปซิฟิกมียอดขายตกต่ำถึง -9%
ทั้งนี้สำหรับตลาดสำคัญมากที่สุดของแบรนด์เบอร์เบอรี่ (Burberry) อยู่ในอเมริกาเหนือ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งคิดเป็น 19% ของยอดขายทั้งหมดทั่วโลก