ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนแผ่นดินใหญ่หรือพีบีโอซี นายปัน กงเฉิง เปิดแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนหลากหลายอย่างที่อยู่ในความดูแลของธนาคารกลางจีน เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยและสั้นหรือดอกเบี้ยนโยบาย ลดทุนสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น โดยมุ่งหวังให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจจีนในปีนี้เติบโตที่เป้าหมาย 5% ของรัฐบาลจีน การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นพร้อมกับปรับลดเงินทุนสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา
สำหรับมาตรการสำคัญที่ประกาศในเช้าวันนี้ ได้แก่ ธนาคารกลางจีนลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจากเดิมที่ระดับ 1.7% ลงอีก 0.2% มาอยู่ที่ระดับ 1.5% มีประกาศคำสั่งไปถึงธนาคารพาณิชย์ให้ปรับลดทุนสำรองเงินขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% ทำสถิติอัตราทุนสำรองเงินของธนาคารพาณิชย์ขั้นต่ำที่น้อยที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่ปี 2020 ส่งผลให้จะมีสภาพคล่องกลับคืนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านหยวนหรือประมาณ 142,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4.83 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะไม่นำไปใช้กับธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดเล็ก และธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในชนบทต่างๆ
นอกจากนี้ยังประกาศให้ ธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์รวมไปถึงกองทุนบริหารการเงินการลงทุนต่างๆสามารถยื่นขอเงินทุนจากธนาคารกลางจีนเพื่อนำไปซื้อหุ้น เพื่อเป็นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของจีนด้วย
ด้านมาตรการฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ได้แก่ ปรับลดเงินดาวน์สำหรับประชาชนจีนที่ซื้อบ้านหลังที่สองจากเดิมที่กำหนดไว้ 25% ลงมาอยู่ที่ระดับ 15% ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนในการกู้ยืมเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้มากถึง 5.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 180.2 ล้านล้านบาท
ด้านบรรดานักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์เปิดเผยว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนชุดใหญ่ของธนาคารกลางจีนที่ประกาศในเช้าวันนี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ระดับหนึ่งอย่างไรก็ตามยังคงมีคำถามว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ดังกล่าวจะสามารถฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวจีนที่ตกต่ำเรื้อรังมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะเงินฝืดที่ยาวนาน ทำสถิติภาวะเงินฝืดที่ยาวนานนานในรอบ 25 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ชุดใหญ่ เพื่อแก้ไขวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่เรื้อรัง ซึ่งส่งผลให้มูลค่าความมั่งคั่งของครัวเรือนในประเทศจีนเสียหายไปมากถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 612 ล้านล้านบาทนั้น แต่ปรากฏว่า มาตรการดังกล่าวประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากข้อมูลล่าสุดพบว่ามี 29 เมืองใหญ่จากทั้งหมด 200 เมือง เดินร้องขอไปยังรัฐบาลกรุงปักกิ่งให้ใช้มาตรการดูดซับจำนวนที่อยู่อาศัยที่ล้นเกินตลาดอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อราคาขายบ้านใหม่ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาดำดิ่ง มากที่สุดในรอบ 10 ปี 2 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2014
