นายโจว หยุนเจี๋ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ กรุ๊ป กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่แห่งใหม่และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ด้วยศักยภาพเชิงพื้นที่ที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งไฮเออร์ยังคงเป็นผู้นำในตลาดโดยมีส่วนแบ่งกว่า 13% เป็นยอดขายอันดับ 1 ในแง่ของจำนวนในช่องทางออฟไลน์
สำหรับโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 324,000 ตร.ม. ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด 3 จ.ชลบุรี ภายใต้งบการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท รองรับกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศสูงสุดถึง 6 ล้านเครื่องต่อปี โดยพื้นที่ดังกล่าวนับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของประเทศไทย เพราะห่างจากท่าเรือแหลมฉบังใน จ.ชลบุรี 49 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 131 กิโลเมตร รวมถึงสามารถเชื่อมต่อด้านคมนาคมได้หลายเส้นทาง
นายโจว หยุนเจี๋ย กล่าวต่อไปว่า โรงงานดังกล่าวมีแผนการดำเนินการก่อสร้างแบ่งเป็น 3 เฟส และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2570 ซึ่งเฟสแรกจะเปิดในส่วนของการผลิต 3 ล้านเครื่องในเดือนกันยายน 2568 เฟสที่สองและเฟสสามจะเสร็จสิ้นพร้อมเปิดดำเนินการในปี 2569 และ 2570 ตามลำดับ ทั้งนี้หลังจากดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้น โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์
ปัจจุบัน ไฮเออร์เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยครองแชมป์เครื่องใช้ภายในบ้านอันดับ 1 ของโลก ติดต่อกัน 15 ปี ตั้งแต่ปี 2552 ถึง 2566 (เป็นการจัดอันดับของสถาบันยูโรมอนิเตอร์อินเตอร์เนชั่นแนล) และในปี พ.ศ. 2562 ไฮเออร์ได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการเป็นเพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าสู่ความเป็น Internet of Things (IoT) มากขึ้น