นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 44-45 ในช่วงวันที่ 9-10 ต.ค.ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ปฎิบัติภารกิจ โดยนำประเด็นต่าง ๆ เสนอต่อที่ประชุมทั้งวงเล็กและวงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น การประชุมอาเซียน 10 ประเทศ หรือการประชุมทวิภาคี หรือแม้กระทั่งการประชุมกับประเทศมหาอำนาจในหลากหลายด้าน อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แคนาดา
“การประชุมของนายกรัฐมนตรีในฐานะตัวแทนของประเทศตั้งแต่ช่วงเช้า 08.00 น.ไปจนถึง 19.00 น. ผู้นำประเทศต่างๆ ที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีของไทยต่างแสดงความประทับใจและมั่นใจว่าไทยจะกลับมามีบทบาทนำในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงศักยภาพของไทยที่จะช่วยผลักดัน การค้า-การลงทุน การท่องเที่ยว รวมถึงการส่งเสริมสันติภาพและความสงบสุข โดยเชื่อมั่นว่า นายกรัฐมนตรีจะทำให้ประเทศไทยกลับมาโดดเด่นบนเวทีระดับโลกและเป็นที่ติดตามของประชาคมโลกอีกครั้ง” นายจิรายุ กล่าว
โดย 10 โอกาสสำคัญในการประชุมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาได้พบปะหารือกับประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีจากหลายประเทศ อันเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ไทยมีโอกาสกลับมาผงาดเป็นเสือตัวที่ 1 ของอาเซียนได้อีกครั้งอาทิ1.วงประชุมอาเซียน-จีน ครั้งที่ 27 ที่มุ่งบูรณาการเศรษฐกิจ สานสัมพันธ์ประชาชน และความร่วมมือด้านความมั่นคง ย้ำความสัมพันธ์อาเซียน-จีนเป็นรากฐานสันติภาพและความเจริญในภูมิภาคนี้ 2.การประชุมอาเซียน-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 25 โดยนายกรัฐมนตรีของไทยเราได้เสนอวิสัยทัศน์ ‘ABC’ Advanced Technology-Balanced development-Creative economy (เทคโนโลยีขั้นสูง-การพัฒนาที่สมดุล-เศรษฐกิจสร้างสรรค์) ในการพัฒนาหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน (CSP) กับเกาหลีใต้3.การประชุมอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 27 ที่ไทยเสนอการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม 3 แนวทาง ได้แก่ ดิจิทัล พลังงานสีเขียว และนวัตกรรม
ส่วนการประชุมสำคัญของอาเซียน 10 ประเทศกับอีก 3 ประเทศ หรืออาเซียน+3 (ASEAN Plus Three: APT) ครั้งที่ 27 ซึ่งประเทศไทยย้ำ 3 ประเด็นในการส่งเสริมภูมิภาคเอเชียตะวันออกให้สามารถปรับตัวให้ทันกับภาวะการณ์ปัจุบัน เช่น การต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ ความมั่นคงทางอาหารและการจัดการทรัพยากรน้ำ และเสถียรภาพทางการเงิน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะหารือทวิภาคีกับนายยุน ซ็อก ย็อล (Yoon Suk Yeol) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ซึ่งนายยุนออกปากชมประเทศไทยที่สามารถตั้ง Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ที่สามารถชูศักยภาพอุตสาหกรรมคอนเทนต์และซอฟต์พาวเวอร์ไทย ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้และพร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในหลากหลายประเด็น
สำหรับการหารือทวิภาคีกับนาย Klaus Schwab ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum: WEF ซึ่งผู้ก่อตั้งได้กล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีไปร่วมประชุม WEF ที่เมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปีหน้า เพื่อประชาสัมพันธ์และแสดงศักยภาพของไทยในด้านต่างๆ อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน อาหาร เป็นต้น
ส่วนการประชุมในวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการประชุม นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายจัสติน ทรูโด (The Right Honourable Justin Trudeau) นายกรัฐมนตรีแคนาดา ซึ่งได้ออกปากชื่มชมไทยที่มีกฏหมายสมรสเท่าเทียมเป็นชาติแรกในอาเซียน และพร้อมร่วมมือด้านการศึกษาและการอาชีวะระหว่างกัน
อีกทั้งได้หารือกับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม (Dato? Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่จะสนับสนุนโครงการ “6 ประเทศ 1 จุดหมาย” เพื่อกระตุ้นให้การท่องเที่ยวในภูมิภาคมีความคึกคัก การส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเที่ยวเมืองไทยมากเป็นอันดับ 1
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายแอนโทนี เจ. บลิงเกน (H.E. Antony J. Blinken) รมต.ต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งชื่นชมบทบาทเชิงรุกของไทยในฐานะสะพานเชื่อมกับอาเซียนต่ออเมริกา (bridge builder) เพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในระดับภูมิภาคและระดับโลก และไทยยืนยันในการสนับสนุนร่วมกันในทุกมิติของทั้ง 2 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน โดยประกาศให้ปี 2568 เป็นปีทองแห่งมิตรภาพความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน (Golden Year of Friendship) เพื่อเฉลิมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งสองฝ่ายจะเร่งจัดการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ 7 ในเร็ววัน เพื่อขยายโอกาสการค้า-การลงทุนระหว่างกัน