นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท. ) กล่าวว่า ประเมินการส่งออกในปี 2567 จะขยายตัว 2% จากปี 2566 ที่คาดว่าจะติดลบ 1% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกไปตลาดหลักและตลาดใหม่ ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัว อาทิ ภาคการผลิตของจีนค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงท้ายๆ ของปี 2566 แม้ว่าจะดีขึ้นช้าๆ แต่ดีกว่าปีที่แล้ว ทำให้การส่งออกไปตลาดหลักน่าจะดีขึ้น ขณะที่การส่งออกไปตลาดใหม่ เช่น อินเดีย แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลาง น่าจะเห็นโอกาสอันสดใส
และหากดูในแง่สินค้าคาดว่าสินค้าเกษตรยังมีปัจจัยที่เอื้ออำนวยและผลักดันต่อไปได้ อีกทั้งเศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% นอกจากนี้ ตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ประมาณ 3.4% และ 6.3% รวมถึงระดับราคาน้ำมันก็อยู่ในระดับที่คงที่ ไม่สูงขึ้น ทำให้ภาคการผลิตและส่งออกควบคุมต้นทุนได้
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายเรื่อง เช่น สงครามยูเครน–รัสเซีย อิสราเอล–กลุ่มฮามาส ที่ยังมีความน่ากังวลอยู่ เสถียรภาพการขนส่งทางเรือในช่วงต้นปี 2567 จากเหตุการณ์ไม่สงบในทะเลแดงจะเป็นความเสี่ยงสูงในระยะสั้นนี้ เพราะการส่งออกต้องใช้ระยะเวลานานขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามไปด้วย รวมถึงต้องดูว่าค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวและปรับตัวอย่างไร รวมถึงผลกระทบจากเอลนีโญที่มีต่อผลผลิตสินค้าเกษตรมากขึ้นหรือไม่
“หากจะเปรียบภาคการส่งออกในปีนี้ มองเป็นปีมังกรทองคะนอนศึก เพราะสถานการณ์ขณะนี้ยังมีความเสี่ยงทั้งปัจจัยภายนอกเรื่องสงครามต่างๆ และเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว เหล่านี้ล้วนส่งผลให้ผู้ประกอบการส่งออกได้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มองว่าในปีนี้ ภาคการส่งออกไทยยังขยายตัวต่อได้ดีกว่าปีก่อนแน่นอน”นายชัยชาญกล่าว
ส่วนสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรอาหารและอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย โดย 11 เดือนแรกของปี 2566 ไทยส่งออกสินค้าอาหารมีมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท เติบโต 2.9% ส่วนในปี 2566 ไทยมีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2.47% จาก 2.25% ในปีก่อน ในขณะที่ประเทศจีนและเวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับไทย ส่วนอินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย มีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกลดลงจากปีก่อน จากมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรอาหารหลายรายการเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารของอินเดีย รวมถึงสินค้าส่งออกหลักของอินโดนีเซียและมาเลเซียอย่างน้ำมันปาล์มที่มีราคาลดลง