นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมเวทีเสวนา “หนี้ครัวเรือนและความเปราะบางทางการเงิน” ในงาน Thailand Focus 2025 จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Beyond the Challenges” เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 โดยชี้ว่า หนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่สมดุลและความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึก
โดยประเทศไทยมีสัดส่วนเศรษฐกิจนอกระบบสูงถึง 48% และมีแรงงานนอกระบบกว่า 53% ของแรงงานทั้งหมด อีกทั้งจากประชากรเกือบ 70 ล้านคน มีเพียง 11 ล้านคนที่ยื่นภาษี และเพียง 4 ล้านคนที่จ่ายจริง ในฝั่งผู้ประกอบการ พบว่า SME ที่เป็นนิติบุคคลมีสัดส่วนเพียง 28% ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนเพียง 1% กลับสร้าง GDP ถึง 65%
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีความซับซ้อน เนื่องจากขาดข้อมูลที่จะทำให้เห็นภาระหนี้ได้อย่างครบถ้วน โดยในปัจจุบันยังมีผู้ให้บริการสินเชื่อในระบบที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร (NCB) นอกจากนี้ ครัวเรือนจำนวนมากมีหนี้นอกระบบ ซึ่งจากงานวิจัยของธนาคารกรุงไทยร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ พบว่า หนี้ครัวเรือนที่รวมหนี้นอกระบบอาจทะลุเกิน 100% ต่อ GDP ขณะที่ครัวเรือนที่มีหนี้นอกระบบอาจจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบในเวลาเดียวกัน
นายผยง กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยั่งยืน ควรยึด 5 แนวทางหลัก คือ 1.ความครอบคลุม (Inclusive) ต้องชัดเจนว่าจะใช้สวัสดิการ กลไกตลาด หรือการช่วยเหลือเฉพาะหน้า 2.ความเป็นธรรม (Fairness) ดอกเบี้ยต้องสะท้อนความเสี่ยงจริง ไม่สร้าง moral hazard 3.การแข่งขันเท่าเทียม (Level Playing Field) ระหว่างสถาบันการเงินแต่ละประเภท 4.การแข่งขันและการเข้าถึงข้อมูลที่เปิดกว้าง (Open Competition & Data Access) แข่งขันภายใต้กลไกตลาด และ 5.การมีความรู้ความเข้าใจในการกู้ยืม (Healthy Borrowing) นำไปสู่การลงทุนสร้างสินทรัพย์และรายได้ มากกว่าการบริโภค
ทั้งนี้ ปัจจุบันภาครัฐ ภาคเอกชน ประกอบด้วยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย ได้ร่วมมือกันเพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนครอบคลุม โดยมาตรการระยะแรก มุ่งเน้นการลดภาระทางการเงินและการปรับโครงสร้างหนี้ให้กลุ่มหนี้ครัวเรือนและ SME ที่เปราะบาง เช่น โครงการ “คุณสู้เราช่วย” ที่ดำเนินการไปแล้ว สำหรับมาตรการระยะถัดไป จะเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งมี 3 ส่วน คือ 1.ยกระดับสวัสดิการแบบ targeted นำประชากรทุกคนเข้าระบบ สร้าง Safety net ที่เพียงพอและทั่วถึง โดยกระทรวงการคลังเตรียมใช้ Negative Income Tax ภายในปี 2570 2.ยกระดับข้อมูลประเทศ ผลักดันให้สถาบันการเงินเข้าระบบ NCB ให้ครบถ้วนเพื่อข้อมูลที่ครอบคลุมลสำหรับการตัดสินใจ และลดความบิดเบือนของระบบ 3.ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และรายได้ครัวเรือน เสริมศักยภาพแรงงานไทย เพิ่มทักษะ Upskill Reskill เพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยการสนับสนุนของภาครัฐ ทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มาตรการภาษี และสิทธิประโยชน์อื่นๆ
“จังหวะนี้เป็นโอกาสสำคัญในการปฏิรูปเศรษฐกิจ ยกระดับสู่ Data-driven economy และ Skill-based economy ซึ่งประเทศไทยยังมีศักยภาพอีกมาก โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ใช้ประโยชน์จาก Generative AI ให้มากขึ้นจากการที่ประชากรเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแล้วกว่า 91% ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้นำทาง (Lighthouse) ในการปฏิรูป และแก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน”