สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ (IEA) เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับวิวัฒนาการอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวี และแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถอีวีทั่วโลกประจำปี 2024 พบว่า เฉพาะในปี 2024 นี้ 20% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลกหรือคิดเป็นประมาณ 17 ล้านคันจะเป็นรถอีวี ซึ่งยังคงเป็นเส้นทางการเติบโตของอุตสาหกรรมรถอีวีอย่างต่อเนื่องหลังจากในปีผ่านมา ค่ารถยนต์ผู้ผลิตรถอีวีสามารถขายรถอีวีได้รวมกันทั้งสิ้น 14 ล้านคัน หรือมีอัตราการเติบโตจากในปี 2022 ขึ้นถึง 35% ในขณะเดียวกันยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2023 พบว่ามีสัดส่วน 18% เป็นยอดขายรถอีวี ซึ่งเพิ่มขึ้น 4% จากในปี 2022 ที่ระดับ 14%
นอกจากนี้ ไออีเอคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 หรืออีก 6 ปีจากนี้ไป จำนวนรถยนต์มากกว่า 1 ใน 3 หรือกว่า 33% บนท้องถนนในจีนแผ่นดินใหญ่จะเป็นรถอีวี สอดคล้องกับจำนวนรถยนต์มากกว่า 1 ใน 5 หรือกว่า 20% บนท้องถนนในสหรัฐสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะเป็นรถอีวี
นายฟาติธ ไบรอล กรรมการผู้อำนวยการ ไออีเอ กล่าวว่า วิวัฒนาการของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถอีวีของโลกนั้น ดูเหมือนจะอยู่ในเส้นทางเข้าสู่การพัฒนาในระยะต่อไป โดยจะเกิดคลื่นการลงทุนการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า ส่งผลถึง เครือข่ายการผลิตชิ้นส่วนหรือซัพพลายเออร์ในรถอีวีจะมีความก้าวหน้า เพื่อทำให้บรรลุ แผนงานของผู้ผลิตรถอีวีในการขยายตลาดรถอีวี ดังนั้นสัดส่วนของรถอีวีที่อยู่ในตลาดรถยนต์ ถูกคาดการณ์ว่าจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ในปี 2023 ผ่านไปจำนวนรถอีวีเกินกว่าครึ่งหนึ่ง หรือกว่า 50% เป็นการผลิตมาจากประเทศจีน เมื่อเปรียบเทียบกับ สัดส่วนการผลิตรถยนต์เครื่องสันดาปซึ่งมีเพียง 10% เท่านั้น ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาประเทศจีนกลายเป็นผู้ส่งออกรถ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยจำนวนมากถึง 4 ล้านคัน ในจำนวนดังกล่าวมีถึง 1.2 ล้านคันเป็นรถอีวีขายทั่วโลก ไออีเอคาดการณ์ต่อไปว่า ราว 60% ของรถอีวีที่ขายอยู่ในตลาดรถยนต์ในประเทศจีน มีราคาที่ถูกกว่ารถยนต์เครื่องสันดาปที่ขายในประเทศจีน ที่น่าสนใจคือจีนไม่เพียงเป็นผู้ ส่งออกรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแต่ยังเป็นตลาดที่มีการซื้อรถอีวีมากที่สุดในโลกด้วย โดยในปี 2023 ที่ผ่านมารถอีวีสามารถขายได้ในประเทศจีนมีสัดส่วนตลาดถึง 60% ของตลาดโดยรวม ในขณะที่รถอีวีมีสัดส่วนที่ 25% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมดในยุโรป และตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกามีสัดส่วนรถอีวีเพียง 10% เท่านั้น
ไม่เพียงตลาดรถยนต์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ตกเป็นเป้าหมายของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนในอนาคต แต่ตลาดรถยนต์ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่เช่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ได้กลายเป็นตลาดที่เนื้อหอมของค่ายผู้ผลิตรถอีวี เริ่มจากตลาดรถยนต์ในประเทศเวียดนามในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นมีสัดส่วนของรถอีวีขายได้ถึง 15% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมดในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีผู้นำเจ้าตลาดอันดับหนึ่งคือบริษัทวินฟาสท์ เป็นผู้ผลิตรถอีวีแห่งชาติของประเทศเวียดนาม วินฟาสกลายเป็นค่ารถ อีวีที่มีเป้าหมายชัดเจนในการผลิตทั้งขายและส่งออกไปยังในภูมิภาคเอเชียและอาเซียน
สำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ได้กลายเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วของรถอีวีโดยในปี 2023 ที่ผ่านไปมีสัดส่วนของรถอีวีถึง 10% ของจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ทั้งหมดในประเทศไทย ปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งๆ ที่ตลาดรถยนต์ในภาพรวมของประเทศไทยหดตัวลงในปีผ่านมา ที่น่าสนใจคือสัดส่วน 10% ของรถอีวีในปีที่แล้วพุ่งทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 4 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับในปี 2022 สำหรับปัจจัยบวกการเติบโตของรถอีวีในประเทศไทยมาจากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลไทยให้กับผู้ผลิตรถอีวีหรือนำเข้ารถอีวีจากต่างประเทศ รวมถึงสิทธิประโยชน์แรงจูงใจในการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าภายในประเทศไทย รวมถึงการลดอัตราภาษีนำเข้ารถอีวีจากต่างประเทศ
ในขณะที่ตลาดรถยนต์ในประเทศอินเดียและอินโดนีเซียกลับมีสัดส่วนของรถอีวีขายได้เพียง 2% ของจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ทั้งปีในทั้งสองประเทศในปีผ่านมา อย่างไรก็ตามรัฐบาลของทั้งประเทศอินเดียและอินโดนีเซียมียุทธศาสตร์ในการดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมรถอีวีภายในประเทศของตนเอง บีวายดี และวินฟาสท์ เตรียมเปิดโรงงานผลิตรถอีวี ในประเทศอินโดนีเซียภายในปีนี้
ไออีเอกล่าวต่อไปว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกากำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน หลังจากที่จีนเริ่มที่จะมีการส่งออกรถอีวีเข้าไปในตลาดโลก และมีการปรับกลยุทธ์การทำตลาดรถยนต์ของจีนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น ไออีเอยกตัวอย่างข้อความของบริษัทฟอร์ดมอเตอร์มอเตอร์และเจเนอรัลมอเตอร์ของสหรัฐสหรัฐอเมริกา ที่ระบุไว้ชัดเจนว่าทั้งสองค่ายรถยนต์ดังกล่าวต้องการจะจับมือกันเพื่อแข่งขันกับรถยนต์จากจีนเช่นแบรนด์บีวายดี แต่แล้วสายงานผลิตรถของทั้งเจนเนอรัล มอเตอร์ และฟอร์ด มอเตอร์ ต้องประสบกับภาวะขาดทุน
ทั้งนี้ไออีเอเปิดเผยในมุมมองที่เป็นบวกมากที่สุดสำหรับตลาดรถอีวีทั่วโลกจะพบว่าภายในปี 2035 รถอีวีจะมียอดขายเพิ่มเป็น 2 ใน 3 ของจำนวนที่ขายทั่วโลก ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลแต่ละประเทศที่จะบรรลุเป้าหมายในการลดภาวะโลกร้อนตามที่ได้ประกาศเอาไว้