กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เปิดเผยรายงานมุมมองภาวะเศรษฐกิจโลก 2025 หรือ Global Economic Outlook 2025, October 2025 ประจำเดือนตุลาคม 2025 พบว่า ได้ปรับลดการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีปี 2026 ของประเทศไทยลดลง 0.1% จากเดิมที่เคยประเมินคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตที่ระดับ 1.7% ลงมาเหลือที่ 1.6% อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟ ยังไม่เปลี่ยนแปลงมุมมองคาดการณ์อัตราการขยายตัว หรือจีดีพีเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2025 นี้ ที่ระดับ 2.0% ต่อเนื่องจากเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวของไอเอ็มเอฟยังเปิดเผยการคาดการณ์ขนาดเศรษฐกิจของทั้ง 6 ประเทศชั้นนำในอาเซียนระหว่างปี 2026 ถึง 2030 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะภายในปี 2030 ปรากฏว่า ในปีดังกล่าวการคาดการณ์ขนาดเศรษฐกิจของทั้ง 6 ประเทศ มีดังนี้ อันดับ 1.อินโดนีเซีย 2.07 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2.ฟิลิปปินส์ 746,498 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 3.สิงคโปร์ 721,319 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 4.เวียดนาม 666,786 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 5.ไทย 654,084 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับ 6.มาเลเซีย 646,456 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับเศรษฐกิจประเทศไทยเดิมเคยมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียนมาเป็นเวลา 8 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2016 แต่เมื่อถึงปี 2024 ที่ผ่านไป เศรษฐกิจประเทศไทยเสียตำแหน่งอันดับที่ 2 ของอาเซียนให้กับประเทศสิงคโปร์ที่มีขนาดเศรษฐกิจในปีดังกล่าวที่ 547,387 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจที่ 526,518 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อถึงปี 2028 เศรษฐกิจประเทศฟิลิปปินส์จะมีขนาดเพิ่มเป็นระดับ 629,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเป็นปีที่เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 3 มีขนาดโตแซงหน้าเศรษฐกิจประเทศไทยที่ต้องอยู่ในอันดับที่ 4 ของอาเซียนด้วยมูลค่าขนาด 602,991 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ เศรษฐกิจเวียดนามจะมีขนาดใหญ่ขึ้นแซงเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2030 เหลืออีก 5 ปีข้างหน้าโดยเวียดนามจะมีมูลค่าขนาดเศรษฐกิจแตะที่ระดับ 666,786 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเศรษฐกิจประเทศไทยจะอยู่ที่ 654,084 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ การคาดการณ์ขนาดเศรษฐกิจของทั้ง 5 ประเทศ (ไม่รับรวมสิงคโปร์) ในปี 2030 จะอยู่ที่ 4.85 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนั่นหมายถึง เศรษฐกิจไทยจะมีสัดส่วน 13.48% ซึ่งเป็นรองเศรษฐกิจประเทศเวียดนามเล็กน้อย ที่จะมีสัดส่วน 13.74% ของขนาดเศรษฐกิจของทั้ง 5 ประเทศ (ไม่รับรวมสิงคโปร์) ภายในปี 2030