นายมงคล สมผล ผู้บริหารงานที่ปรึกษากลุ่มยานยนต์ หรือ Automotive Sector Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย เป็นบริษัทในธุรกิจการให้บริการที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก ซึ่งมีสาขาอยู่ในประเทศไทย เปิดเผยรายงานผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทยจำนวนกว่า 1,000 คน พบว่าคนไทยกลับมาให้ความสนใจรถยนต์สันดาป หรือรถใช้น้ำมันมากขึ้นเป็น 32% เมื่อเทียบจากปี 2024 พฤติกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มทั่วโลกยังคงให้ความสนใจรถอีวี
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในไทย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสูง ทำให้รถยนต์สันดาปเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีสัดส่วนความสนใจประเภทเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างสมดุลกัน สะท้อนจาก 36% ของผู้บริโภคไทย เปิดเผยว่ารถคันต่อไปที่จะซื้อจะเป็นรถสันดาป ตามมาด้วยปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่ 21% รถไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่ 20% และไฮบริด (HEV) ที่ 17% ถ้าเทียบกับภูมิภาคอาเซียน ยกเว้นสิงคโปร์ กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามจะสนใจรถยนต์สันดาปมากกว่า 50%
ปัจจัยที่คนไทยกังวลมากที่สุด คือ เรื่องค่าใช้จ่าย ระยะทางการวิ่ง และระยะเวลาการชาร์จ โดยผลสำรวจระบุว่าคนไทยมีพฤติกรรมใจร้อนที่สุดในภูมิภาค และเกือบครึ่งคาดหวังว่าแบตเตอรี่รถ BEV ควรจะชาร์จจาก 0% ถึง 80% ภายในไม่เกิน 20 นาที เมื่อเจาะจงก็พบว่า 40% คาดหวังว่าการชาร์จหนึ่งครั้งต้องเดินทางได้มากกว่า 400 กม.ขึ้นไป โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการชาร์จรถนอกบ้าน คือ เวลาในการชาร์จที่รวดเร็ว ความปลอดภัยส่วนบุคคล และจุดที่ตั้งหาง่ายเข้าถึงสะดวก
การขาดแคลนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยน่ากังวลหลักในอาเซียน แต่ในทางตรงกันข้าม คนไทยกลับกังวลเรื่องดังกล่าวน้อยสุดในอาเซียน โดยมีสัดส่วนลดลงกว่า 43% เมื่อเทียบกับปี 2024 ลงมาเหลือเพียง 26% ในปี 2025 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จของประเทศที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้คนไทยสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ได้แก่ ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงถูกลง สิ่งแวดล้อม และประสบการณ์การขับขี่ เช่นเสียงเงียบ หรือการเร่งตัวดี คนไทยให้ความสำคัญมากที่สุด คือ คุณภาพตัวรถ ราคา และออฟชั่น หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคในปัจจุบันตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์จากคุณค่าที่จับต้องได้ของตัวรถยนต์ มากกว่าการพิจารณาเรื่องแบรนด์
นอกจากนี้ มากกว่า 2 ใน 3 ของทั้งภูมิภาคต่างตั้งใจว่าจะเปลี่ยนยี่ห้อรถยนต์คันต่อไป และให้ความสำคัญของภาพลักษณ์ของแบรนด์กับความคุ้นเคยรถยนต์น้อยลงไปเป็นอันดับที่ 5 และ 6 ในการตัดสินใจเลือกซื้อรถคันใหม่
นายโชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการอาวุโส แผนก Growth ดีลอยท์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในไทยมีแนวโน้มที่จะขับรถทางไกลต่อเดือนมากสุดในภูมิภาคอาเซียน (มากกว่า 100 กม.) และครึ่งหนึ่งใช้รถยนต์ทุกวัน เพราะฉะนั้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะเป็นสิ่งยังจำเป็นต้องทำต่อไป
ผลสำรวจดังกล่าว เปิดเผยต่อไปว่า 93% ยังยืนยันว่าต้องการสัมผัสรถยนต์จริงก่อนซื้อ และ 90% ต้องการทดลองขับก่อน สะท้อนถึงความต้องการประสบการณ์ในการซื้อแบบผสมผสาน (Hybrid) ที่ระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์
เมื่อเทียบกับภูมิภาค คนไทยให้ความสำคัญมากที่สุดกับรถยนต์ประกอบในประเทศ ซึ่ง 71% มองเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ สะท้อนความเชื่อมั่นในคุณภาพการประกอบรถยนต์ของไทย และอาจรวมถึงราคาที่ถูกลงตามมาด้วย นอกจากนี้ ยังให้ความไว้วางใจตัวแทนจำหน่าย(Dealer) มากกว่าผู้ผลิตในการบริหารจัดการข้อมูลของรถ ตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของเครือข่าย Dealer ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาคที่เชื่อมั่นในผู้ผลิตรถยนต์เป็นหลัก
ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันตอนนี้สำหรับผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในไทย คือสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากไทยมีหนี้เสียที่มีอยู่ระบบมาก จนทำให้ธนาคารเคร่งครัดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงตัวเลขยอดขายรถมือสองเพิ่มขึ้นเป็นอุปสรรคต่อรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อรถยนต์สันดาปที่มีวงจรอะไหล่ครบถ้วน เข้าถึงง่ายกว่า มูลค่าในการขายต่อที่ดี และเบี้ยประกันรถที่คาดเดาได้