ซีอีโอแบงก์ทีทีบี ตีแผ่บัญชีม้า ธุรกิจสีดำ ธุรกิจกิจสีเทา เศรษฐกิจนอกระบบในไทย ไทยขึ้นพื้นที่อำนวยความสะดวกของเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เปิด 5 ทางแก้ร่วมกันทุกฝ่าย

ซีอีโอแบงก์ทีทีบี ตีแผ่บัญชีม้า ธุรกิจสีดำ ธุรกิจกิจสีเทา เศรษฐกิจนอกระบบในไทย ไทยขึ้นพื้นที่อำนวยความสะดวกของเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เปิด 5 ทางแก้ร่วมกันทุกฝ่าย

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต โพสต์ข้อความเกี่ยวกับภัยร้ายกัดกร่อนรากฐานประเทศไทย มีดังนี้ บัญชีม้า ธุรกิจสีดำ ธุรกิจกิจสีเทา เศรษฐกิจนอกระบบ— ภัยร้ายที่กัดกร่อนรากฐานชาติ นอกจากธุรกิจที่ผิดกฏหมายแล้ว ประเทศไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ ในระดับที่น่ากังวล — ประเมินกันว่ามีสัดส่วนสูงถึง 50% ของ GDP ของประเทศ จัดเป็นอันดับต้นๆของโลก

ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจเชิงตัวเลข แต่เป็นปัญหารากลึกที่เปิดช่องให้กับการทุจริตคอร์รัปชัน การฟอกเงิน และการหลอกลวงแบบเป็นระบบเติบโตจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน

ทำไมบัญชีม้าจึงลุกลาม: การเปิดบัญชีที่ง่าย ดำเนินการโอนที่สะดวกรวดเร็วและไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “พื้นที่อำนวยความสะดวก” สำหรับเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งที่อาจตั้งอยู่ในต่างประเทศ แต่ใช้บัญชีไทยเป็นศูนย์กลางหมุนเงิน การหลอกลวงและการฟอกเงินจึงทำได้หลายช่องทาง เช่น

1. เงินสด — ออกนอกระบบและหมุนเวียนในมือผู้รับโดยตรงเพราะการใช้เงินสดในประเทศไทยง่าย ไม่มีต้นทุน และแทบไม่มีข้อจำกัด

2. คริปโตเคอร์เรนซี — เข้าถึงได้ง่าย โอนข้ามพรมแดนได้เร็ว เป็นจำนวนมาก ตรวจสอบไม่ได้

3. e-Wallet — ใช้งานสะดวกสำหรับการรับ-จ่าย การตรวจสอบไม่เข้มข้น

4. ถ้าทองคำ/สินทรัพย์ทางเลือก — ใช้เป็นช่องทางสะสมมูลค่าและอยู่นอกระบบการตรวจสอบใดๆ

ที่สำคัญแก๊งมิจฉาชีพมืออาชีพมักใช้กลยุทธ์ “รากฝอย” คือแตกเงินเป็นรายการเล็ก ๆ จำนวนมากและกระจายไปยังบัญชีหลายบัญชีอย่างรวดเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และเพื่อให้เมื่อเกิดความผิดปกติ จะยากต่อการตามรอยเส้นทางทั้งหมด

นอกจากช่องโหว่เชิงระบบแล้ว ยังมาจากพฤติกรรมของผู้คนเอง เช่น การ ขายหรือรับจ้างให้ใช้บัญชี แก่บุคคลอื่นเพื่อแลกกับค่าตอบแทนใช้ บัญชีส่วนตัว รับรายได้ของธุรกิจเพื่อเลี่ยงภาษีหรือกิจกรรมอื่นที่ไม่โปร่งใส การลงข้อมูลเปิดบัญชีไม่ตรงกับการใช้งานจริง ทำให้ “ตัวตน” และ “พฤติกรรม” ไม่สอดคล้องกัน ใช้บัญชีไปทำกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การพนันออนไลน์ ผู้เสียหายหลายราย ไม่แจ้งความ เพราะขั้นตอนลำบากหรือมองว่าเสียหายน้อย เสียหน้าถ้าบอกใคร จึงปล่อยให้การกระทำผิดดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีผู้ฟ้องร้อง พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ระบบการเงินไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างผู้สุจริตและผู้กระทำผิด ส่งผลให้ช่องว่างสำหรับการทุจริตขยายตัว

มาตรการที่กำลังดำเนินการ ความก้าวหน้าและข้อจำกัด การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างธนาคาร ภาครัฐ และหน่วยงานด้านความปลอดภัย การดำเนินมาตรการที่สำคัญได้แก่:

1. Central Fraud Registry (ฐานข้อมูลกลางการทุจริต) — เชื่อมข้อมูลระหว่างธนาคารเพื่อให้สามารถต่อเส้นทางการเงินและเห็นภาพรวมของการไหลของเงินได้เร็วและชัดเจนขึ้น

2. การจัดระดับบัญชีม้า — กำหนดประเภทบัญชีม้าเป็นชั้น ๆ เช่น “ม้าดำ ม้าเทา ม้าน้ำตาล” ตามระดับความชัดเจนของการกระทำผิด เพื่อให้การตอบสนองและการอายัดบัญชีมีความเร่งด่วนและตรงเป้า

3. Customer Profiling — ตั้งเกณฑ์การใช้งานบัญชีให้เหมาะสมกับโปรไฟล์ผู้ใช้ (เช่น คนที่ใช้บัญชีไม่บ่อยจะถูกตั้งค่าให้โอนออกได้จำกัด) เพื่อลดโอกาสบัญชีถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน หรือป้องกันผู้สุจริตจากการถูกหลอกให้โอนเงินครั้งละมากๆ

4. กระบวนการแจ้งความแบบใหม่ (AOC 1441) — ออกแบบระบบให้ผู้เสียหายแจ้งความและรายงานเหตุได้สะดวกขึ้น ลดอุปสรรคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

5. ความร่วมมือข้ามหน่วยงาน — ธนาคาร ธนาคารกลาง และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต้องประสานงานอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับมาตรการให้ทันต่อพฤติกรรมของมิจฉาชีพ

มาตรการเหล่านี้เริ่มแสดงผล — ด้วยมาตรการต่างๆ การหลอกลวงด้วย App ดูดเงินในขณะนี้ลดลงจนถือได้ว่าหมดไป ในขณะที่จำนวนบัญชีม้าเริ่มลดลง จำนวนเงินที่ถูกหลอกก็เริ่มลดลงในหลายกรณี ทำให้เครือข่ายมิจฉาชีพต้องปรับกลยุทธ์หรือยอมจ่ายมากขึ้นเพื่อได้บัญชีใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงยังมีข้อจำกัด: บางมาตรการอาจสร้างความไม่สะดวกแก่ผู้สุจริต และระบบต้องออกแบบเพื่อไม่ให้ผลกระทบเหล่านั้นเกินความจำเป็น

สุดท้าย: เราจะแก้กันอย่างไร — ไม่ใช่แค่กฎ แต่เป็นพฤติกรรมของคนทั้งชาติ

การแก้ปัญหานี้ต้องเดินควบคู่สองเส้นทาง: เทคโนโลยีและกฎหมายที่เข้มแข็ง กับ การเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน หากปล่อยให้พฤติกรรมเดิมดำเนินต่อไป จะไม่มีระบบใดแยกความชัดเจนระหว่างคนสุจริตกับคนทุจริตได้

สิ่งที่ต้องทำรวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง:

1. หยุดการขายหรือให้เช่าบัญชีแก่ผู้อื่น

2. ใช้บัญชีให้ตรงวัตถุประสงค์ ให้ข้อมูลที่เป็นจริงเมื่อเปิดบัญชี หากเป็นธุรกิจควรต้องมีบัญชีธุรกิจอย่างชัดเจน

3. หากเป็นเหยื่อ ให้แจ้งธนาคารและแจ้งความทันที อย่าปล่อยให้มิจฉาชีพได้เปรียบเพราะความเหนื่อยหรือความคิดว่า “ไม่คุ้ม”

4. สนับสนุนและให้กำลังใจมาตรการที่มุ่งป้องกันการทุจริต แม้จะมีความไม่สะดวกชั่วคราว

5. เรียนรู้และเผยแพร่ความรู้ให้คนรอบตัวเข้าใจความเสี่ยงและวิธีป้องกัน

นี่คือข้อเท็จจริง: ถ้าเราไม่ร่วมมือกัน ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม และไม่ร่วมสนับสนุนมาตรการที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องคนทั่วไป ประเทศของเราก็จะยังถูกทำลายทีละน้อย

คำถามคือ…เราจะยอมให้ อาชญากรข้ามชาติ ใช้คนไทยบางคนเป็นเครื่องมือหลอก คนไทยด้วยกันเอง ต่อไปหรือ? เราจะยอมเห็น คนทำมาหากิน คนสุจริต เงินเก็บทั้งชีวิตหายไปในพริบตา เพียงเพราะเราอยากสะดวกแบบเดิม โดยไม่ร่วมมือ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เป็นกำลังใจให้คนที่พยายามแก้ปัญหาหรือ?

แน่นอนว่า มาตรการบางอย่างที่ออกมาอาจจะต้องพบความความท้าทาย ความผิดพลาด การเรียนรู้เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ถ้าเราอยากเห็นสังคมที่คนตั้งใจทำงานมีกำลังใจ คนดีได้ดี คนไม่ดีต้องรับผิด ทุกคนต้องช่วยกันปรับตัว ร่วมมือ และยืนหยัด ไม่ใช่ยอมแพ้ ปล่อยให้ประเทศกลายเป็นสวรรค์ของมิจฉาชีพไปตลอดกาล

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles