นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงการจัดการปัญหาบัญชีม้าที่ผู้กระทำผิดมักใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางในการถ่ายเทเงินที่ได้จากการฉ้อโกงอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ว่า ก.ล.ต. ได้ทำงานร่วมกับคณะทำงานที่ดูแลปัญหาบัญชีม้า อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE)
โดยยกระดับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น มีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีม้า (บัญชีดำ/บัญชีเทา) กับหน่วยงานภาครัฐเพื่อปิดกั้นและสกัดกั้น และกำหนดนโยบายและปัจจัยในการพิจารณาบัญชีต้องสงสัยเพิ่มเติม นอกเหนือจากข้อมูลที่ได้รับจากผู้เสียหาย โดยสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ระงับธุรกรรมและรายงานกรณีที่พบความผิดปกติ
สำหรับปี 2568 ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้อายัดบัญชีต้องสงสัยไปแล้วกว่า 31,216 บัญชี มูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 229 ล้านบาท โดยการอายัดเน้นสกัดกั้นตั้งแต่ต้นทางในบัญชีธนาคารก่อนแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล แม้สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถโอนออกได้รวดเร็ว ทำให้การอายัดทำได้ยาก แต่มีการกำหนดนโยบายตรวจสอบบัญชีต้องสงสัยเพิ่มเติม และสถาบันการเงินต้องระงับธุรกรรมและรายงานธุรกรรมผิดปกติทันที ทั้งนี้ เมื่อมีการอายัดบัญชีดำจะถูกอายัดทรัพย์สินทั้งหมด แต่หากเป็นธุรกรรมที่น่าสงสัยอาจอายัดเฉพาะส่วน ซึ่งการอายัดสามารถทำได้ตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือตามกฎหมาย ปปง. หากมีธุรกรรมที่น่าสงสัย โดยเฉพาะการเร่งดำเนินการกับบัญชีม้าที่เปิดทิ้งไว้แม้จะยังไม่มีสินทรัพย์ เพื่อป้องกันการถูกนำไปใช้ในอนาคต
นอกจากนี้ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” ในปี 68 (1 ม.ค.-15 ก.ย.68) ได้รับแจ้งเบาะแสการหลอกลงทุนรวมทั้งสิ้น 6,354 ครั้ง ผ่าน 6 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. โทรศัพท์ อีเมล การเดินทางมายังสำนักงาน ระบบบริการสนทนา และไปรษณีย์ จากจำนวนนี้มีบัญชีโซเชียลมีเดียที่เข้าข่ายหลอกลงทุน 3,036 บัญชี ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและหน่วยงานภาครัฐเพื่อ ปิดกั้นบัญชีเหล่านี้ 100% ภายในเวลา 7 นาที-48 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังให้คำปรึกษาเรื่องการหลอกลงทุนไปแล้ว 3,318 ครั้ง
ส่วนโครงการ Tourist DigiPay เป็นโครงการนำร่องที่เชื่อมเทคโนโลยีสินทรัพย์ดิจิทัลกับภาคการท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวสามารถแปลงคริปโตเคอร์เรนซีเป็นเงินบาทและฝากเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) เพิ่มความสะดวกคล่องตัวในการจับจ่ายใช้สอยสำหรับนักท่องเที่ยว เต่เนื่องจากมีข้อกังวลเรื่องการฟอกเงิน ก.ล.ต. จึงมีกลไกควบคุมดูแลความเสี่ยง โดยมีการทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าวไม่เข้าข่ายต้องสำแดงต่อศุลกากร เนื่องจากถือครองในรูปแบบดิจิทัลคล้ายกับเงินฝากในธนาคารต่างประเทศหรือบัตรเครดิต หากมีประเด็นความเสี่ยงในอนาคตหลังโครงการขยายตัว ก็จะมีการประเมินและขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง