120 วัน จับสัญญาณชีพอนาคตไทย… นับถอยหลังวันแห่งความหวังหรือวันแห่งความพัง

977
1
Share:

เปิดประเทศ 120 วัน จับสัญญาณชีพอนาคตไทย… นับถอยหลังวันแห่งความหวังหรือวันแห่งความพัง
ดูเหมือนว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาประชาชนคนไทยจะตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นยอดผู้ติดเชื้อ และยอดผู้เสียชีวิตรายวันที่มีอัตราพุ่งสูงขึ้นจนน่าตกใจ ทุบสถิตินิวไฮรายวันแทบทั้งสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเรื่องของปากท้องกับสภาวะเศรษฐกิจที่แสนจะฝืดเคือง เจ้าของกิจการห้างร้าน ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่างเริ่มออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยา เพราะตอนนี้สภาพคล่องของธุรกิจช่างร่อแร่ ทั้งยังมาเจอมาตรการล็อกดาวน์ ห้ามนั่งทานในร้าน ยิ่งทำให้ทุกธุรกิจเจอกับศึกหนัก ถึงขั้นบอกว่าหลายแห่งกำลังนับถอยหลังเตรียมปิดกิจการ และช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของพวกเขาเลยก็ว่าได้

ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย เนื่องจากไทยเป็นศูนย์รวมของเชื้อโควิด-19 แทบจะทุกสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) หรือสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) จากที่เราเคยตั้งการ์ดเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้สายพันธุ์กลายพันธุ์เข้ามาในประเทศ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะต้านทานไว้ไม่ไหว ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือมีการแพร่กระจายไปทั่วประเทศแล้ว ซึ่งทั้ง 2 สายพันธุ์ขึ้นชื่อในเรื่องของความรุนแรง รวดเร็ว และติดต่อกันได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ที่เป็นสายพันธุ์หลักที่พบในประเทศ ด้วยสาเหตุนี้ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งผู้ป่วยอาการรุนแรงยังมีจำนวนมากกว่าผู้ที่หายป่วย ทำให้ปัญหาเตียงไม่พอวนกลับมาอีกรอบจนได้ โดยไทยเคยประสบกับปัญหานี้มาแล้ว เมื่อครั้งการระบาดในระลอกที่ 2 และดูเหมือนว่าการระบาดรอบนี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น จนทำให้คุณหมอบางท่านออกมาพูดว่าประเทศไทยอาจกำลังก้าวเข้าสู่การระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 4 ก็เป็นได้

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กลางดึกของคืนวันที่ 26 มิถุนายน ได้มีการประกาศราชกิจจานุเบกษา กำหนดล็อกดาวน์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และประกาศเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเป็น 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เกิดเป็นกระแสวิพากย์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของเวลาที่ออกประกาศอย่างกระทันหัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารเกิดปัญหาสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้พึ่งได้รับอนุญาตให้ขยายเวลาในการให้บริการนั่งทานภายในร้านจาก 3 ทุ่ม เป็น 5 ทุ่ม แต่วันดีคืนดีเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง เมื่อมีการประกาศให้งดรับประทานอาหารภายในร้าน โดยเปิดให้บริการเฉพาะแบบสั่งกลับบ้าน หรือเดลิเวอรีเท่านั้น เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน ทำให้ร้านอาหารทุกขนาดต่างได้รับผลกระทบเกิดเป็นความเสียหายอย่างหนัก มีร้านอาหารต้องปิดตัวลงไปกว่า 20,000 ราย รวมถึงมีความเสียหายเดือนละ 4,000–5,000 ล้านบาท ซึ่งความเสียหายนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่การระบาดระลอกที่ 3 ในช่วงประมาณเดือนเมษายนเป็นต้นมา และถึงแม้ทางรัฐบาลจะออกมาแถลงถึงมาตรการการเยียวยา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอ และยังไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ

แต่ถึงอย่างไร รัฐบาลก็ได้พยายามผลักดันให้มีการเปิดประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ เริ่มจากโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ซึ่งเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเลือกจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของไทยอย่างภูเก็ต ให้เป็นพื้นที่นำร่องแห่งแรกในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว พร้อมแสดงผลตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 สามารถเข้ามาท่องเที่ยวได้ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดว่าในเดือนกรกฎาคมจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวภูเก็ต 12,000-15,000 คน และคาดว่าตลอดไตรมาส 3 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวภูเก็ต 100,000 คน สร้างรายได้ประมาณ 8,900 ล้านบาท ถ้าสามารถทำได้ตามแผนที่ตั้งไว้ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศ แต่ถ้าไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ในกรณีที่พบปัญหาที่ก่อให้เกิดแผนการชะลอ หรือยกเลิกโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จะต้องมีแผนสำรอง เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาตามมาอย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้น

สุดท้ายแม้จะแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จะริบหรี่ แต่ก็หวังว่าพี่น้องคนไทยจะกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง และส่วนหนึ่งก็คงต้องฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลว่าท่านจะทำทุกวิถีทางอย่างเต็มกำลังและจริงใจ เพื่อให้คนไทยสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ เพราะยังเชื่อว่าหากวิกฤตโควิด-19 จบลง ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่สวยงามน่าอยู่ ทั้งยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างแน่นอน

อย่างไรแล้วทีมงาน BTimes ก็ขอเป็นกำลังให้ประชาชนทุกคนก้าวผ่านช่วงเวลาวัดใจนี้ไปด้วยกัน โปรดดูแลรักษาตนเอง ใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ พร้อมรอวันที่เราจะกลับสู่สภาวะปกติได้อีกครั้ง ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม BTimes เราจะสู้ไปด้วยกันค่ะ

BTimes