เมื่อคนทั้งประเทศพร้อมใจยินดีมอบโควต้าไฟเซอร์ให้บุคลากรด่านหน้า แต่เหตุไฉนทำไมวัคซีนถึงหล่นหายระหว่างทาง?

934
0
Share:

เมื่อคนทั้งประเทศพร้อมใจยินดีมอบโควต้า ไฟเซอร์ ให้บุคลากรด่านหน้า แต่เหตุไฉนทำไมวัคซีนถึงหล่นหายระหว่างทาง?

กลายเป็นประเด็นเด็ดที่ถูกกล่าวถึงกันตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ กับประเด็นโควต้าวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับการบริจาคจากสหรัฐอเมริกาเพื่อบุคลากรด่านหน้า แต่เมื่อถึงกำหนดเวลาฉีด กลับพบปัญหาจำนวนวัคซีนไม่เพียงพอ จนมีบุคลากรที่ได้รับผลกระทบออกมาทวงถามถึงสาเหตุว่า ทำไมถึงต้องมีคนที่ได้ฉีดและไม่ได้ฉีด ทั้งที่ก็เป็นคนที่ทำงานอยู่ด่านหน้าเหมือนกัน แล้วใช้เกณฑ์อะไรในการคัดเลือกว่าใครสมควรได้รับหรือไม่ได้รับ โดยมีการถามถึงสาเหตุนี้อย่างต่อเนื่องผ่านสื่อโชเชียลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่ หรือแม้แต่โรงพยาบาลประจำอำเภอขนาดเล็ก เช่น โรงพยาบาลขอนแก่นที่ส่งรายชื่อบุคคลที่ขอโควต้ารับวัคซีนไปทั้งหมด 1,400 รายชื่อ แต่กลับได้วัคซีนมาเพียงแค่ 700 โดสเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลสนามที่ใหญ่ที่สุดอย่างโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบจำนวนเช่นเดียวกัน จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือนผ่านแฮชแท็ก #ทวงPfizerให้หน่วยด่านหน้า ภายหลังจากที่บุคลากรทั้ง 2 โรงพยาบาลออกมาทวงถาม ส่งผลให้ตอนนี้ได้รับวัคซีนครบตามจำนวนเป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลขนาดเล็กอื่นๆ ที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนไม่เพียงพอได้ออกมาโพสต์ข้อความตัดพ้อว่าต้องให้ออกมาระบายความในใจบ้างหรือ ถึงจะได้รับความอนุเคราะห์ ทั้งที่ก็ทำงานด่านหน้าเช่นเดียวกัน ร้อนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงสาธารณสุขต้องรีบออกแถลงการณ์ไขข้อข้องใจนี้ถึงสาเหตุของปัญหา โดยให้รายละเอียดว่า สำหรับการจัดสรรวัคซีนจำเป็นต้องจัดส่งเป็นรอบ เนื่องจากการดำเนินการต่างๆ ต้องมีความพร้อม เพราะวัคซีนไฟเซอร์ต้องมีการเก็บในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าวัคซีนตัวอื่น และต้องมีการผสมวัคซีนก่อนใช้งาน ทำให้มีความจำเป็นต้องแบ่งรอบในการจัดส่ง และย้ำว่าวัตถุประสงค์ในการจัดการบริหารวัคซีนสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่มีความประสงค์จะรับนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่แล้ว และจะได้รับทุกราย นอกจากนี้ยังจะมีการจัดซื้อจัดหาเพิ่มเติมมาอีก โดยยืนยันว่าวัคซีนไม่ได้สูญหายไปไหน ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ามีความโปร่งใสและตรวจสอบได้

แต่แล้วความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก เพราะหลังจากไขข้อข้องใจอันเก่าได้เพียงไม่นาน ก็เกิดประเด็นเดือดขึ้นอีกครั้ง จากกรณีที่นายทหารยศสิบเอกได้มีการโพสต์ภาพและข้อความเกี่ยวกับการได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ประชาชนก็เกิดการแสดงความเห็นถามถึงความจำเป็นและเหมาะสมว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่สมควรได้รับวัคซีนหรือไม่ แต่สุดท้ายก็มีการยืนยันว่านายทหารคนดังกล่าวปฏิบัติงานอยู่ที่โรงพยาบาลค่ายศรีสองรัก มณฑลทหารบกที่ 28 ซึ่งถือว่าเป็นบุคลากรด่านหน้าเช่นเดียวกัน เพราะมีคนไข้โควิด-19 เข้ารับการรักษา และถือว่าบุคคลที่กำลังเป็นประเด็นอยู่นั้นเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง

จากกรณีดังกล่าวคงเกิดคำถามสำหรับบางคนว่า วัคซีนไฟเซอร์ควรฉีดให้กับเฉพาะบุคลากรด่านหน้าเท่านั้นหรือ เพราะแท้จริงแล้วประชาชนคนไทยทุกคนทุกสถานะล้วนมีสิทธิ์เข้าถึงการรักษา และควรได้รับการฉีดวัคซีนที่ดีมีคุณภาพ เพียงแต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการสำรวจสายพันธุ์ของโควิด-19 ที่ระบาดในประเทศไทย จาก 1,632 ตัวอย่าง โดยสายพันธุ์ที่ครองการระบาดมากที่สุด คือสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ถึง 91.9% รองลงมาคือ สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) 7.9% และสายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) 0.2% ดังนั้นบุคลากรด่านหน้าเหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องสู้รบและรับมือกับเจ้าไวรัสตัวร้ายนี้ก่อนใคร จึงเป็นผู้ที่สมควรได้รับวัคซีนก่อน เพื่อเสริมเกราะสร้างความมั่นใจในการทำงาน จากนั้นค่อยเรียงลำดับความสำคัญตามความเหมาะสมต่อไป

ทีมงาน BTimes ขอเชิญชวนแฟนเพจมาร่วมให้กำลังใจ เพื่อสร้างกำลังใจให้กับบุคลากรด่านหน้าที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการต่อสู้กับเชื้อโควิด-19 เพราะเขาคือฮีโร่ในชีวิตจริง ถ้าไม่มีบุคคลเหล่านี้ที่เสียสละ ประเทศไทยอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากกว่านี้ก็เป็นได้ สุดท้ายขอให้แฟนเพจทุกคนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และขอให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 นะคะ เราจะสู้และก้าวผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ นี้ไปด้วยกันค่ะ

BTimes