ยุคมืดดำเมื่อหญิงไทยตกเป็นเหยื่อไม่เว้นวัน นั่นเพราะกฎหมายไม่เข้มพอ หรือคนมีศีลธรรมตกต่ำ

971
0
Share:

ยุคมืดดำเมื่อ ผู้หญิง ไทยตกเป็นเหยื่อการถูก คุกคาม ไม่เว้นวัน นั่นเพราะกฎหมายไม่เข้มพอ หรือคนมีศีลธรรมตกต่ำ
ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวน่าสลดหดหู่เกิดขึ้นกับผู้หญิงหลากหลายกรณี ทั้งเหตุที่เกิดจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือการถูกคุกคามทางด้านร่างกายและจิตใจ จนทำให้มีการตั้งคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมที่มักกล่าวอ้างว่าตัวเองคือเมืองพุทธกันแน่

วัฒนธรรมและความเชื่อเรื่อง ‘ผู้ชายเป็นใหญ่’ ในสังคมไทยถูกหล่อหลอมจนกลายเป็นความเคยชิน ที่บางครั้งก็เกิดการคุกคามหรือกดขี่ข่มเหงเพศหญิงโดยไม่รู้ตัว จนบางกรณีสร้างความตระหนกตกใจ เนื่องจากเกิดความยินยอมเพียงเพราะบุคคลที่ประพฤติผิดนั้นเป็นคนในครอบครัว ลุกลามเกิดเป็นปัญหาสังคมที่เรื้อรังไร้การแก้ไขมาอย่างยาวนาน และหากไม่มีการแก้ไขหรือลบความเชื่อเดิมให้หมดไป ความหวังที่จะเห็นสังคมไทยมีความเท่าเทียมคงดูหมดหวังตั้งแต่ยังไม่เริ่มเป็นแน่

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนที่น่าตกใจจากเวทีเสวนาในหัวข้อ “การยุติความรุนแรงต่อเด็ก – ละเลย เลยรุนแรง” ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศ โดยเนื้อหาบางส่วนในเวทีเสวนาได้พูดถึงประเด็นปัญหาสุขภาพจิต พบว่าเด็กและเยาวชนมีโอกาสเป็นภาวะซึมเศร้ามากขึ้นจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นมาปัญหาความรุนแรงในครอบครัว สอดคล้องกับรายงานประจำปี Ending Violence in Childhood: Global Report 2020 ที่จัดทำขึ้นโดยองค์กรระหว่างประเทศที่เคลื่อนไหวเรื่องการใช้ความรุนแรงในเด็ก หรือ Know Violence in Childhood พบว่าเด็กและเยาวชน 1,700 ล้านคน คิดเป็น 3 ใน 4 ของเด็กและเยาวชนทั่วโลกตกเป็นเหยื่อ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง

สำหรับประเทศไทย ก็ดูเหมือนจะไม่ต่าง จากรายงานสถิติความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวตั้งแต่ปี 2559-2563 ของกรมสุขภาพจิต พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น คิดเป็น 1,400 รายต่อปี โดยผู้ถูกกระทำมักเป็นเด็กและสตรี แบ่งเป็นความรุนแรงทางร่างกาย 87%, ความรุนแรงทางเพศ 9% และความรุนแรงทางจิตใจ 4% ซึ่งตรงกับสถิติของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าตั้งแต่ปี 2547-2561 มีเด็กๆ จำนวนถึง 121,860 ราย เข้ารับบริการจากการถูกกระทำรุนแรง

ประเทศไทยควรปิดตำราวิชาการที่มีแค่หลักการแต่ใช้งานไม่ได้จริงเสียที แล้วเริ่มปลูกฝังศีลธรรมและจิตสำนึกในการให้เกียรติและเคารพสิทธิผู้อื่นอย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาได้เติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศ และให้ความเชื่อที่ผิดๆ เหล่านี้สูญหายไป อีกทั้งควรมีการรื้อระบบกฎหมายให้เข้มงวดและมีการนำมาใช้อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น เพื่อให้คนในสังคมรู้สึกเกรงกลัวเมื่อยามที่คิดจะกระทำพฤติกรรมอันไม่สมควร รวมถึงควรมีหลักสูตรเพิ่มเข้าไปในระบบการศึกษาในวิชาที่เป็นประโยชน์ ไม่ควรยึดติดแต่สิ่งเดิมๆ เมื่อโลกเปลี่ยนการเรียนรู้และการปรับตัวย่อมเปลี่ยนไป อาทิ จากเดิมมีการบรรจุหลักสูตรวิชากระบี่กระบองหรือฟันดาบลงในวิชาพละศึกษา แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตจริง ดังนั้นหลักสูตรที่เหมาะสมอาจเป็นวิชาการป้องกันตัวเบื้องต้น เมื่อเกิดสถานการณ์คับขันจะได้สามารถป้องกันตัวเองจากการโดนทุกคามได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายก็ตาม

การที่บ้านเมืองจะน่าอยู่และปลอดภัยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนในสังคมว่าเป็นเช่นไร อีกทั้งการเรียนรู้จากกรณีศึกษาในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้น แล้วนำมาแก้ไข หรือปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ทุกเพศ และทุกวัย

ทีมงาน BTimes ก็ขอฝากความห่วงใยให้แฟนเพจทุกคน รักษาเนื้อรักษาตัวกันด้วยนะคะ เป็นห่วงทุกคนมากๆ ค่ะ

BTimes