ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำถือว่าปรับพุ่งขึ้นมาได้โหดมาก โดยช่วงวันที่ 22 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ราคาทองคำไทยทุบสถิติใหม่ ราคาปิดตลาด รูปพรรณขึ้นแตะ 55,250 บาท และระหว่างวันยังทะลุราคาสูงสุดที่ 55,600 บาท รวมทั้งวันปรับขึ้นวันเดียว +1,250 บาท เหตุจากความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาภาษีของสหรัฐกับจีน ดูท่าทางจะไม่เกิดขึ้น จนอาจจะทำให้สงครามการค้าและสงครามภาษีสองประเทศนี้ปะทุขึ้นรุนแรงก็เป็นได้
แต่วันต่อมา (23 เมษายน) ราคาทองก็ได้พลิกดิ่งลง รวมทั้งวันร่วงลงถึง 1,750 บาท ทองแท่งลงมาอยู่บริเวณ 52,700 บาท และรูปพรรณ ลงมาอยู่แถว 53,500 บาท เพราะนักลงทุนได้คลายความกังวลสงครามการค้าลง จากท่าทีของประธานาธิบดี ทรัมป์ที่ออกมาบอกว่าอาจจะมีการเจรจากับจีนถ้าจีนต้องการ ซึ่งก็เล่นเอาบรรดาคอทองใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะทองสวิงเป็นรถไฟเหาะ ผันผวนไม่ต่างจากสินทรัพย์อื่นๆ ในตลาดเลยก็ว่าได้
ซึ่งทองคำไทยถือว่าได้รับเอฟเฟ็กต์ นโยบายของทรัมป์จังๆ ด้วยแรงซื้อ-ขายและอัตราแลกเปลี่ยนที่ขึ้นลง กับราคาทองคำโลกอย่างเห็นได้ชัด
<ย้อนรอยราคาทองช่วงเกือบ 3 ทศวรรษ>
โดยหากย้อนดูพัฒนาการของราคาทองไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา (หรือสมัยคุณบัญชายังวัยรุ่น) ราคาทองคำในตอนนั้นยังไม่ถึงครึ่งของราคาทองในวันนี้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งหากเราไปดูสถิติทองคำนับตั้งแต่ปี 2539–2567 จะทยอยแพงขึ้นเรื่อยๆ เลยก็ว่าได้
ปี 2539 บาทละ 4,792 บาท
ปี 2540 บาทละ 4,869 บาท
ปี 2541 บาทละ 5,748 บาท
ปี 2542 บาทละ 5,144 บาท
ปี 2543 บาทละ 5,426 บาท
ปี 2544 บาทละ 5,766 บาท
ปี 2545 บาทละ 6,355 บาท
ปี 2546 บาทละ 7,167 บาท
ปี 2547 บาทละ 7,844 บาท
ปี 2548 บาทละ 8,555 บาท
ปี 2549 บาทละ 12,900บาท
ปี 2550 บาทละ 13,300บาท
ปี 2551 บาทละ 15,350บาท
ปี 2552 บาทละ 17,250บาท
ปี 2553 บาทละ 20,050บาท
ปี 2554 บาทละ 27,100 บาท
ปี 2555 บาทละ 25,900บาท
ปี 2556 บาทละ 24,350บาท
ปี 2557 บาทละ 21,150บาท
ปี 2558 บาทละ 20,150 บาท
ปี 2559 บาทละ 22,800บาท
ปี 2560 บาทละ 21,200บาท
ปี 2561 บาทละ 20,300 บาท
ปี 2562 บาทละ 22,300 บาท
ปี 2563 บาทละ 30,400 บาท
ปี 2564 บาทละ 28,950 บาท
ปี 2565 บาทละ 32,100 บาท
ปี 2566 บาทละ 34,400 บาท
ปี 2567 บาทละ 44,500 บาท
สำหรับปี 2568 ผ่านมา 4 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึง 25 เมษายน 2568 ราคาทองปรับขึ้นไปแล้ว 10,050 บาท
<ทำไมทองคำไทยแพงขึ้นเกือบทุกปี>
ย้อนกลับไปช่วงหลายๆ สิบปีที่ผ่านมา เทียบราคาทองในปัจจุบันกับสมัยก่อน จะเห็นได้ชัดว่าราคาทองแพงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการที่ทองจะปรับราคาขึ้น–ลงได้นั้น มีสาเหตุมาจาก 5 ปัจจัย ได้แก่
1. อัตราดอกเบี้ย หากมีนโยบายการเงินของรัฐออกมาว่าปรับดอกเบี้ยสูงขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศดี ราคาทองคำจะปรับลดลง แต่หากเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี ราคาทองก็จะปรับสูงขึ้น เนื่องจากทองมีความปลอดภัยสูงกว่าการถือเงินสดเก็บไว้
2. ราคาน้ำมัน แม้ว่าจะมีการใช้พลังงานทดแทนแล้วก็ตาม แต่น้ำมันก็ยังเป็นทรัพยากรที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก หากราคาน้ำมันสูงขึ้นแสดงว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ
3. ค่าเงินดอลลาร์ เงินดอลลาร์เป็นค่าเงินที่ใช้กันทั่วโลก แต่หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าจากสถานการณ์ภายในประเทศหรือปัจจัยระหว่างประเทศ ก็จะทำให้ราคาทองสูงขึ้นเพราะหลายคนมองว่าทองมีค่ากว่าเงิน
4. ความต้องการของตลาด หากเป็นช่วงเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่หรือตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนซื้อทองไว้เป็นของขวัญตามเทศกาลมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองสูงขึ้น แต่หากในปัจจุบัน เราอาจจะได้เห็นการรายงานข่าวว่าบรรดาธนาคารกลางของหลายประเทศมีการซื้อตุนทองคำมากขึ้นจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและเศรษฐกิจที่กำลังวิตกกันอยู่ในขณะนี้ด้วย เป็นต้น
และ 5. ภาวะสงคราม หากเกิดภาวะสงครามระหว่างประเทศ เช่น รัสเซีย–ยูเครน อิสราเอล–ฮามาส ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในค่าเงินและต้องการสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในทุกประเทศอย่างทองคำมากขึ้น
สาเหตุที่ทองคำไทยแพง ราคาทำสถิตินิวไฮเป็นว่าเล่น ปัจจัยสำคัญก็มาจากความกังวลเศรษฐกิจโลก รวมถึงได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลผลกระทบการทำสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่สุดในตอนนี้
<ทองจะแพงไปถึงไหน ?>
คุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ มองว่าแนวโน้มราคาทองคำไทยและทองคำโลกยังจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและสงครามทางเศรษฐกิจจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังไม่มีข้อยุติเรื่องเก็บภาษีนำเข้าสินค้าหลังขยายระยะเวลา 90 วัน ทำให้มีการขายดอลลาร์ซื้อทองคำ ด้วยคุณสมบัติที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ท่ามกลางความกังวลสงครามการค้า ทำให้ราคาทองผันผวนในระยะสั้น คาดว่าปลายปีนี้อาจจะได้เห็นราคาทอง 56,000–58,000 บาท แต่ก็มีคาดการณ์กันว่าราคาทองอาจจะไปถึงบาทละ 60,000 บาท และทองคำโลกอยู่ที่ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ส่วนตัวไม่อยากคาดการณ์ราคาไว้สูงมากเกินไป เพราะต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย เช่น ดอลลาร์อ่อนค่า เงินบาทแข็ง สงครามรัสเซียกับยูเครน
นักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำบางแห่งคาดว่าถ้าความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังไม่คลี่คลาย และราคาทองคำโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง บวกกับค่าเงินบาทที่อาจอ่อนค่าลงไปถึง 38–40 บาทต่อดอลลาร์ ราคาทองในไทยก็อาจแตะระดับ 60,000 บาทต่อบาททองคำ ได้ในช่วงที่เหลือของปี 2568 หรือต้นปี 2569 อย่างไรก็ตามยังขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ไม่แน่นอน เช่น การตัดสินใจของ Fed และสถานการณ์ในตะวันออกกลางประกอบกันด้วย
<ดูยังไงว่าเป็นทองแท้ หรือ ทองเก๊ ?>
ด้วยราคาทองคำที่แพงขึ้นมากในปัจจุบัน จึงอาจกลายเป็นช่องทางของมิจฉาชีพนำทองคำปลอมมาหลอกขาย หรือจำนำ หรือการถูกหลอกลวงอื่นๆ ที่นำมาซึ่งการสูญเสียทรัพย์สิน คำแนะนำจากผู้ค้าทอง มีข้อสังเกตหลายจุด ได้แก่
– ดูจากตราประทับ ทองแท้มีความอ่อนตัวสูงจึงทำให้ช่างทองตีตราประทับได้ หากเป็นทองปลอมจะไม่มีตราประทับหรือมีแต่รายละเอียดเก็บได้ไม่เนียบ
– ดูจากน้ำหนักทอง หากนำทองที่มีน้ำหนักเท่ากันมาชั่งน้ำหนักแล้วพบว่าทองทั้งสองชิ้นมีน้ำหนักเท่ากันเสมอ แสดงว่าเป็นทองแท้ ส่วนทองปลอมจะมีน้ำหนักแตกต่างกัน
– ดูรอยต่อของทอง หากเป็นทองแท้จะมีความทนทานสูง จึงไม่พบความผิดปกติบริเวณรอยต่อ ส่วนทองปลอมจะไม่ทนทานเท่า จึงมีรอยหรือมีสีที่ต่างจากบริเวณอื่น
– ดูจากแม่เหล็ก หากเป็นทองแท้จะไม่ถูกแม่เหล็กดูด ส่วนทองปลอมจะถูกแม่เหล็กดูดทันทีเพราะเมื่อโลหะผสมอยู่เยอะ
– ดูจากกระจก หากนำโยนลงบนกระจกแล้วมีเสียงเบานุ่มแสดงว่าเป็นทองแท้ ส่วนทองปลอมจะมีเสียงดังแหลมแสบแก้วหู
ส่วนวิธีพิสูจน์อื่นๆ ที่ร้านทองทำกัน เช่น ใช้จานเซรามิกขูด หยดกรดไนตริก หรือเผาทองนั้น ผู้ค้าทองหลายรายไม่แนะนำ เพราะอาจทำให้ทองเสียหายหรือลดปริมาณเนื้อทองลงไป มีผลต่อราคาทองที่ลดลงตามไปด้วย
ด้านกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์เองก็ได้แนะนำวิธีสังเกตุที่ง่ายที่สุดคือ ป้ายราคา และเครื่องชั่งทอง ที่ได้รับการตรวจสอบจากกรมฯแล้ว โดยเครื่องชั่งที่ผ่านการตรวจรับรองจะมี “สติกเกอร์แสดงการตรวจสอบ” ติดไว้ในจุดที่มองเห็นชัดเจนของร้านทองนั้นๆ
เชื่อว่าแฟนเพจของ BTimes จะมีทั้งนักลงทุนมือฉมัง และนักสะสมตัวยง แต่การลงทุนไม่ว่าจะสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม ย่อมมีความเสี่ยงเสมอ ช่วงนี้อาจจะต้องรอบคอบกันเป็นพิเศษ เพราะทองคำก็สวิงไม่แพ้หุ้น ค่าเงินเช่นกัน…